นายสตีเวน แลม นักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg Intelligence) คาดการณ์ว่า ยอดการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันอันเนื่องมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในคาบสมุทรโนโตะของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น จะอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับภัยพิบัติครั้งอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นายแลมกล่าวว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะระบุตัวเลขความเสียหาย แต่ก็คาดว่ายอดการเรียกร้องสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันอาจจะอยู่ที่ประมาณ 2.1 -9.0 หมื่นล้านเยน (145-620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งต่ำกว่ายอดการเรียกร้องสินไหมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 4 ครั้งก่อนหน้านี้ในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงแผ่นดินไหวในจังหวัดคุมาโมโตะเมื่อปี 2559 และแผ่นดินไหวที่จังหวัดฟุกุชิมะเมื่อปี 2554 โดยทั้ง 4 เหตุการณ์นี้มียอดการเรียกร้องสินไหมรวมกันอยู่ที่ 2.31 แสนล้านเยน
ทางด้านฟิทช์ เรทติ้งส์กล่าวว่า ความเสียหายที่มีการเรียกร้องสินไหมทดแทนคาดว่าจะมีเพียงเล็กน้อย และจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทประกันภัยของญี่ปุ่น
รายงานระบุว่า บริษัทประกันภัยรายใหญ่ได้ส่งพนักงานเข้าไปยังพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นเพื่อประเมินและให้ความช่วยเหลือผู้ทำประกันที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง 7.6 แมกนิจูด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้บ้านเรือนหลายร้อยหลังในจังหวัดอิชิกาวะได้รับความเสียหาย และทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 203 ราย
อย่างไรก็ดี ความเสียหายของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ประสบภัยครั้งล่าสุดนี้ ไม่มากเท่ากับความเสียหายจากแผ่นดินไหวหลายครั้งก่อนหน้านี้ และไม่มีรายงานว่าสาธารณูปโภคเพื่อการพาณิชย์หรือโรงงานได้รับความเสียหายรุนแรง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของบริษัทประกันอยู่แค่ในวงจำกัด นอกจากนี้ ความเสียหายส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับบ้านเรือน ซึ่งการเรียกร้องค่าชดเชยอาจจะได้รับการคุ้มครองโดยโครงการประกันภัยแผ่นดินไหวสำหรับผู้อยู่อาศัยซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น
ทั้งนี้ นายแลมคาดการณ์ว่า บริษัทประกันรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึง โตเกียวมารีน โฮลดิ้งส์ (Tokio Marine Holdings), เอ็มเอสแอนด์เอดี อินชัวรันซ์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (MS&AD Insurance Group Holdings) และซมโปะ โฮลดิ้งส์ (Sompo Holdings) จะสามารถจ่ายเงินชดเชยความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในครั้งนี้ได้อย่างครอบคลุม