นายวินเซนต์ เคลิร์ก ซีอีโอของเมอส์ก (Maersk) ซึ่งเป็นบริษัทเดินเรือรายใหญ่สัญชาติเดนมาร์ก กล่าวว่า การหยุดชะงักอย่างต่อเนื่องของการเดินเรือสินค้าในทะเลแดงอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
นายเคลิร์กระบุในความเห็นที่ส่งถึงหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สและยืนยันกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเส้นทางเดินเรือทางทะเลแดงจะกลับสู่ภาวะปกติได้เมื่อใด ซึ่งอาจจะเป็นเวลาหลายวัน หลายสัปดาห์หรือหลายเดือน กรณีที่เกิดขึ้นนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทั่วโลก"
เมอส์กได้ประกาศเตือนเมื่อวันศุกร์ (5 ม.ค.) ว่า บริษัทจะเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดินเรือออกจากทะเลแดง ซึ่งเป็นเส้นทางไปยังคลองสุเอซของอียิปต์ และเป็นเส้นทางการเดินเรือที่เร็วที่สุดระหว่างยุโรปและเอเชีย โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลในอนาคตอันใกล้
เรือของบริษัทเมอส์กจะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางที่ยาวกว่าแทน ซึ่งก็คือเส้นทางรอบชายฝั่งทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ก่อนหน้านี้นายเคลิร์กเคยกล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า เส้นทางอ้อมนี้อาจทำให้การเดินทางระหว่างยุโรปไปยังเอเชียใช้เวลาเพิ่มขึ้นถึง 2-4 สัปดาห์
ทั้งนี้ เมอร์สกและบริษัทขนส่งทางเรืออื่น ๆ อีกหลายแห่งกำลังเปลี่ยนเส้นทางเดินทะเลของตน เนื่องจากการโจมตีเรือโดยกลุ่มกบฏฮูตีเยเมน โดยผู้นำกลุ่มฮูตีอ้างว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการตอบโต้อิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา และแม้ว่าจะมีการจัดตั้งกองกำลังปฏิบัติการผู้พิทักษ์ความเจริญรุ่งเรือง (Operation Prosperity Guardian) ที่นำโดยสหรัฐและชาติพันธมิตรซึ่งนำเรือรบจากประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ไปยังพื้นที่ดังกล่าว แต่การโจมตีในทะเลแดงยังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงต้นปี 2566