นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาคลีฟแลนด์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่ขยายตัวเกินคาดในเดือนธ.ค.สะท้อนให้เห็นว่า การที่เฟดจะสามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% นั้นยังคงเป็นหนทางที่ยากลำบาก และขณะนี้อาจจะเร็วเกินไปที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.
"ดิฉันคิดว่าเดือนมี.ค.อาจจะเร็วเกินไปสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะดิฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องมีข้อมูลที่เป็นหลักฐานเพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจ ดิฉันคิดว่าดัชนี CPI เดือนธ.ค.สะท้อนให้เห็นว่าเฟดยังมีภารกิจที่จะต้องทำอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุมเข้มนโยบายการเงิน" นางเมสเตอร์กล่าว
ทั้งนี้ นางเมสเตอร์กล่าวว่า ดัชนี CPI เดือนธ.ค.ไม่ได้บ่งชี้ว่าความคืบหน้าในการปรับลดอัตราเงินเฟ้อของเฟดได้หยุดชะงักลง พร้อมกับย้ำว่า เฟดจำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวังทั้งในด้านเงินเฟ้อและการจ้างงานในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 3.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.2% จากระดับ 3.1% ในเดือนพ.ย.
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.9% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.8% จากระดับ 4.0% ในเดือนพ.ย.
ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดทำให้นักลงทุนลดน้ำหนักต่อการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 67% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. ซึ่งลดลงจากระดับ 71% ในช่วงก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลข CPI