นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของธนาคารเจพีมอร์แกน เชสเปิดเผยว่า เขายังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในช่วง 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากผลกระทบที่เกิดจากความเสี่ยงทั้งในด้านการเงินและภูมิรัฐศาสตร์
นายไดมอนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี นอกรอบการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวานนี้ (16 ม.ค.) ว่า "คุณจะเผชิญกับปัจจัยที่มีอานุภาพอย่างมาก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2567 และ 2568"
"ปัจจัยที่จะมีผลกระทบได้แก่ สถานการณ์ในยูเครน, การก่อการร้ายในอิสราเอลและทะเลแดง และการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินเชิงปริมาณ (QT) ซึ่งเป็นนโยบายที่ผมเองก็ยังคงมีคำถามว่าเราเข้าใจแนวทางนี้ได้ดีพอหรือไม่ก่อนที่จะนำมาใช้" นายไดมอนกล่าว โดย QT หมายถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำการปรับลดงบดุลบัญชีและลดการดำเนินนโยบายที่เคยนำมาใช้ก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาล
นายไดมอนยังคงแสดงความไม่มั่นใจเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐเช่นเดียวกับในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าเจพีมอร์แกนซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐจะสามารถทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐทำผลงานได้ดีสวนทางกับการคาดการณ์ก็ตาม โดยเศรษฐกิจได้แรงหนุนจากการที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากการจ้างงานอยู่ในระดับที่ดีและชาวอเมริกันมีเงินออมเป็นจำนวนมากในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาด
สำหรับมุมมองเรื่องตลาดหุ้นนั้น นายไดมอนกล่าวว่า การที่บริษัทจดทะเบียนประกาศซื้อหุ้นคืนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้ช่วยดึงดูดให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง โดยดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 19% ในปีที่แล้ว และยังคงเคลื่อนตัวไม่ห่างจากระดับสูงสุด