ทั้งนี้ นายธีแลน วิกครามาซิง หัวหน้าฝ่ายวิจัยประจำสิงคโปร์ของเมย์แบงก์ อินเวสต์เมนต์ แบงกิง กรุ๊ป ระบุว่า เศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้น, ยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้น, การผลิตที่ปรับตัวขึ้น และการที่บริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (TSMC) เพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในสัปดาห์ที่ผ่านมาล้วนส่งสัญญาณว่า ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มจะกระเตื้องขึ้นในปีนี้
"หุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นราคาถูกอย่างยิ่ง" นายวิกครามาซิงระบุในรายการ "Street Signs Asia" ของสำนักข่าวซีเอ็นบีซี
ดัชนี MSCI เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรับตัวลดลงประมาณ 3% ในปี 2566 เทียบกับการปรับขึ้นกว่า 20% ของดัชนี MSCI ทั่วโลก (MSCI World) ซึ่งหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรกบนดัชนี MSCI World ล้วนเป็นบริษัทเทคโนโลนีรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ เช่น แอปเปิ้ลและไมโครซอฟท์
ข้อมูลจาก MSCI ณ วันที่ 29 ธ.ค. 2566 ระบุว่า ดัชนี MSCI เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซื้อขายที่ประมาณ 13.21 x อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ล่วงหน้า 12 เดือน เทียบกับ 16.57 x P/E ล่วงหน้าของดัชนี MSCI World
นายวิกครามาซิงระบุว่า แม้มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อมุมมองเชิงบวกในตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งได้รับแรงหนุนอย่างแข็งแกร่งจากการบริโภคภายในประเทศ
ส่วนตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้รับประโยชน์จากอุตสาหกรรมชิปและยานพาหนะไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นเช่นกัน