เอเชียและแอฟริกาใต้ในเข้ามาแทนที่ยุโรปในฐานะภูมิภาคหลักที่นำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย เนื่องจากรัสเซียถูกคว่ำบาตรจากยุโรป นับตั้งแต่เข้ารุกรานยูเครนเมื่อเดือนก.พ. 2565
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ก่อนที่จะมีการคว่ำบาตรในช่วงกลางปี 2565 นั้น รัสเซียส่งออกน้ำมันไปยังยุโรปมากกว่า 60% และยุโรปนับเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัสเซีย เนื่องจากการขนส่งน้ำมันทางท่อนั้นมีต้นทุนต่ำในการขนส่งไปยังศูนย์กลางการบริโภคหลัก ๆ ในยุโรป
เพื่อชดเชยการส่งออกที่สูญเสียไปในยุโรป บรรดาผู้ส่งออกน้ำมันของรัสเซียจำเป็นต้องปรับลดราคาน้ำมันลงนับตั้งแต่ปี 2565 เพื่อขยายการส่งออกไปยังตลาดที่อยู่ห่างไกลมากขึ้น และได้เปลี่ยนไปใช้การขนส่งน้ำมันทางเรือแทน จากเดิมที่ขนส่งทางท่อเป็นหลัก
ข้อมูลจากแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2565 น้ำมันดิบอูราล (Urals) ซึ่งเป็นน้ำมันดิบเกรดหลักของรัสเซีย มีราคาถูกกว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานราคาน้ำมันของยุโรปอยู่มากกว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในขณะที่ในปี 2564 ราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบอูราลนั้นถูกกว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ไม่ถึง 2 ดอลลาร์สหรัฐ
ข้อมูลการติดตามเรือจากเคปเลอร์ (Kpler) บ่งชี้ว่า การที่รัสเซียปรับลดราคาน้ำมันลงอย่างมาก ส่งผลให้เอเชียและแอฟริกานำเข้าน้ำมันของรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างมาก และการนำเข้าน้ำมันดิบโดยรวมของสองทวีปดังกล่าวนั้นพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2566
นอกจากนี้ การปรับลดราคาน้ำมันเชิงรุกของรัสเซีย ยังมีแนวโน้มว่าจะกระตุ้นการซื้อน้ำมันเพิ่มขึ้นทั่วทั้งเอเชียและแอฟริกาในปีต่อ ๆ ไป แม้ว่าทั่วโลกพยายามที่จะลดการพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลในระบบพลังงานก็ตาม