ทางการจีนกำลังเร่งผลักดันการควบรวมกิจการครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมธนาคาร ด้วยการนำธนาคารหลายร้อยแห่งในพื้นที่ชนบทควบรวมกิจการกับธนาคารรายใหญ่ระดับภูมิภาค ท่ามกลางสัญญาณความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หลังจากที่จีนดำเนินการควบรวมกิจการสหกรณ์และธนาคารพาณิชย์ในพื้นที่ชนบทในอย่างน้อย 7 มณฑลตั้งแต่ปี 2565 ทางการจีนก็พุ่งเป้าที่จะควบคุมความเสี่ยงของภาคธนาคารที่มีมูลค่าสูงถึง 6.7 ล้านล้านดอลลาร์เป็นภารกิจลำดับต้น ๆ ในปีนี้ ซึ่งหมายความว่าการควบรวมกิจการระลอกใหม่ในภาคธนาคารมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นทั่วประเทศ อุตสาหกรรมธนาคารของจีนได้รับผลกระทบจากปัญหามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการทรุดตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจโดยรวมที่อยู่ในภาวะเปราะบาง โดยธนาคาร 2,100 แห่งในระบบสหกรณ์ของพื้นที่ชนบทจีนมีอัตราส่วนหนี้เสียสูงถึง 3.48% ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งสูงกว่าอัตราส่วนหนี้เสียของทั้งภาคธนาคารถึง 2 เท่า
นายหลิว เสี่ยวชุน รองผู้อำนวยการสถาบันการเงินเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Finance Institute) กล่าวว่า "สถาบันการเงินที่มีขนาดเล็กกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของความเสี่ยงในขณะนี้ ดังนั้น ทางการจีนจึงเร่งผลักดันกระบวนการปฏิรูปให้มีความรวดเร็วขึ้น โดยหนึ่งในทางเลือกที่สำคัญของการแก้ปัญหาความเสี่ยงนี้คือการควบรวมกิจการและการปรับโครงสร้างองค์กร"
วิกฤตการณ์ในภาคธนาคารของจีนกำลังกลายเป็นปัญหาด้านการเมืองเช่นกัน โดยประชาชนหลายร้อยคนในมณฑลเหอหนานได้ออกมาประท้วงเมื่อปี 2565 หลังจากธนาคารท้องถิ่นหลายรายได้ยักยอกเงินลูกค้าหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ประชาชนเหล่านี้ออกมาเรียกร้องให้ธนาคารคืนเงินฝากให้กับพวกเขา
นายเจสัน เบดฟอร์ด ซึ่งเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับธนาคารระดับภูมิภาคของจีนซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดในปี 2562 กล่าวว่า สหกรณ์ในพื้นที่ชนบทของจีนอาจจะเป็นสถาบันการเงินที่มีความโปร่งใสน้อยที่สุดในระบบธนาคาร