สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยรายงานทิศทางอุปสงค์ทองคำประจำปี 2566 ในวันพุธ (31 ม.ค.) ซึ่งระบุว่า จีนซื้อทองคำพุ่งทะยานขึ้น 30% ในปี 2566 เนื่องจากธนาคารกลางจีน (PBOC) เดินหน้าซื้อทองคำเพื่อแทนที่การถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐ ขณะที่เหล่านักลงทุนก็แสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองคำหลังเศรษฐกิจจีนชะลอตัว
สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชีย รายงานว่า ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสุทธิรวมกันทั้งสิ้น 1,037 ตันในปีที่ผ่านมา ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่ปี 2493 โดยเป็นรองเพียงแค่ยอดซื้อ 1,082 ตันในปี 2565
ส่วนธนาคารกลางจีนซื้อทองคำสุทธิ 225 ตันในปีที่ผ่านมา ถือว่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2520 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีข้อมูลของจีน
รายงานระบุว่า ปัจจัยเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้หนุนให้หลายประเทศเข้าซื้อทองคำ โดยโปแลนด์ซื้อทองคำ 130 ตันในปีที่ผ่านมา ขณะที่ลิเบียซื้อทองคำ 30 ตัน
ทั้งนี้ หลายประเทศพยายามลดการสำรองเงินดอลลาร์สหรัฐแล้วเปลี่ยนไปสำรองทองคำแทน หลังจากที่เกิดกรณีสหรัฐและยุโรปอายัดเงินสำรองของรัสเซีย
"สัญญาณเหล่านี้บ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐลดน้อยถอยลง ทั้งที่โดยปกติแล้วเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่ประเทศต่าง ๆ นิยมถือไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ" นายอิตสึโอะ โทชิมะ นักวิเคราะห์ตลาด ระบุ
กระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า จีนลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเหลือ 7.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เดือนพ.ย. 2566 ซึ่งลดลงประมาณ 10% จากปีก่อนหน้า และลดลงจากตัวเลขที่จีนถือครองหลังรัสเซียบุกยูเครนถึงประมาณ 2.3 แสนล้านดอลล์สหรัฐ
นายสึโยชิ อุเอโนะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของสถาบันวิจัยเอ็นแอลไอ (NLI Research Institute) ในญี่ปุ่น ระบุว่า จีนอาจกำลังพยายาม "หลบหลีกอิทธิพลของดอลลาร์สหรัฐและขยายอิทธิพลของเงินหยวน" ในขณะที่จีนกำลังส่งเสริมให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินสากล