สถาบันโลหะเงิน (Silver Institute) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตันของสหรัฐได้เปิดเผยรายงานล่าสุดระบุว่า ปี 2567 อาจเป็นปีของโลหะเงิน โดยคาดว่าราคาโลหะเงินมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ขณะเดียวกันคาดว่า ความต้องการโลหะเงินทั่วโลกจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.2 พันล้านออนซ์ในปี 2567 ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดอันดับที่สอง
"การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมเป็นแรงผลักดันให้อุปสงค์โลหะเงินทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น และคาดว่าราคาโลหะเงินจะพุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ในปีนี้" สถาบันโลหะเงินระบุในรายงาน โดยสถาบันโลหะเงินเป็นสมาคมระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหากำไร ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวนมากในอุตสาหกรรมโลหะเงิน
ทั้งนี้ โลหะเงินถูกใช้เป็นโลหะปฐมภูมิสำหรับวัตถุประสงค์ด้านอุตสาหกรรม และเป็นส่วนประกอบในการผลิตรถยนต์ แผงโซลา เครื่องประดับ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
นายไมเคิล ดีรีนโซ ผู้อำนวยการบริหารของสถาบันโลหะเงินเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า "เราคิดว่าโลหะเงินจะทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมในปีนี้ โดยเฉพาะในแง่ของอุปสงค์ ผมคาดว่าราคาโลหะเงินจะพุ่งขึ้นจนถึง 30 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี"
ทั้งนี้ ราคาโลหะเงินซึ่งมีการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 22.4 ดอลลาร์/ออนซ์ในขณะนี้ และเคยทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 30 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อเดือนก.พ. 2556
สถาบันโลหะเงินคาดการณ์ว่า อุปสงค์เครื่องใช้ที่ทำด้วยโลหะเงิน (silverware) จะเพิ่มขึ้น 9% และคาดว่าอุปสงค์เครื่องประดับที่ทำด้วยโลหะเงินจะเพิ่มขึ้น 6% ในปีนี้ โดยคาดว่าอินเดียจะเป็นประเทศที่ซื้ออัญมณีที่ทำจากโลหะเงินเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าการฟื้นตัวของเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภคจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดโลหะเงิน
สำหรับในระยะสั้นนั้น สถาบันโลหะเงินระบุว่าเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า และความเป็นไปได้น้อยลงที่สหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปีนี้ อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในโลหะเงินของนักลงทุนสถาบัน อย่างไรก็ดี คาดว่าสถานการณ์จะพลิกผันในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้สังเกตการณ์ในตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ราคาโลหะเงินและทองคำมีความผกผันกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นจะทำให้อุปสงค์โลหะเงินและทองคำชะลอตัวลง เนื่องจากทองคำและโลหะเงินเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย