นายฮอกเลอร์ ชไมดิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเบเรนเบิร์ก (Berenberg Bank) เปิดเผยว่า ขณะนี้แทบไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนี และข้อมูลที่มีการเปิดเผยล่าสุดก็สนับสนุนมุมมองดังกล่าว
นายชไมดิงกล่าวว่า ข้อมูลที่มีการเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งได้แก่ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม การส่งออก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมประจำเดือนธ.ค. 2566 นั้น ล้วนแล้วแต่บ่งชี้ว่าเยอรมนีกลายเป็น "จุดอ่อนของยุโรป" และถือเป็นการยืนยันว่าภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนียังคงอยู่ในภาวะถดถอย
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. 2566 ของเยอรมนีปรับตัวลง 1.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน และปรับตัวลง 1.5% ในปี 2566 ส่วนยอดการส่งออกซึ่งถือเป็นเสาหลักของระบบเศรษฐกิจเยอรมนีนั้น ร่วงลง 4.6% ในเดือนธ.ค. และลดลง 1.4% ในปี 2566 หรือคิดเป็นมูลค่า 1.562 ล้านล้านยูโร (1.68 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ขณะที่ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.นั้น แม้ว่าปรับตัวขึ้น 8.9% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย. แต่ก็เป็นการปรับตัวขึ้นไม่มากนักเพราะได้แรงหนุนจากปัจจัยระยะสั้น และตลอดปี 2566 ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลง 5.9%
ส่วนข้อมูลล่าสุดในเดือนม.ค.ปีนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นของเยอรมนีในเดือนม.ค.อยู่ที่ระดับ 47.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน และลดลงจากระดับ 49.3 ในเดือนธ.ค. โดยดัชนีอยู่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการอยู่ในภาวะหดตัว ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นของเยอรมนีในเดือนม.ค. อยู่ที่ 45.4 ซึ่งแม้ว่าเพิ่มขึ้นจากระดับ 43.3 ในเดือนธ.ค. แต่ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการอยู่ในภาวะหดตัว
ทางด้านนายยอร์ก เครเมอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของคอมเมิร์ซแบงก์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเยอรมนีจะหดตัวลง 0.3% ในปี 2567 โดยคาดว่าปัจจัยที่จะฉุดรั้งเศรษฐกิจมากที่สุดในปีนี้มาจากการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง รวมทั้งผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ