รัฐบาลจีนเปิดเผยข้อมูลในวันพฤหัสบดี (29 ก.พ.) ระบุว่า รายได้ประชาชาติ (GNI) เฉลี่ยต่อคนของจีนปรับตัวลงในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบ 29 ปีในปี 2566 ซึ่งฉุดจีนลงจากเกณฑ์ของธนาคารโลกในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง
รายงานระบุว่า รายได้ประชาชาติเฉลี่ยต่อคนของจีนลดลง 0.1% สู่ระดับ 12,597 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเงินหยวนอ่อนค่าลง
นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า การจัดหมวดหมู่รายได้ประจำปีของธนาคารโลกในเดือนก.ค.ที่ผ่านมานั้น ธนาคารโลกได้เพิ่มตัวเลข GNI เฉลี่ยต่อคนขั้นต่ำที่เข้าเกณฑ์การเป็นประเทศรายได้สูงอีก 5% สู่ 13,846 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยตัวเลข GNI ของจีนนั้นต่ำกว่าระดับดังกล่าวอยู่ 9% หลังเคยต่ำกว่าระดับดังกล่าวเพียง 1% เศษเท่านั้นในปี 2564
นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า แม้จีนได้ยกเลิกการบังคับใช้มาตรการโควิดเป็นศูนย์ไปตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่เศรษฐกิจจีนยังคงถูกฉุดรั้งอย่างต่อเนื่องจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำเรื้อรัง รวมถึงกำไรผู้ประกอบการและรายได้ภาคครัวเรือนทรุดตัวลง
รายงานระบุว่า GNI เฉลี่ยต่อคนปรับตัวขึ้น 4.7% ในรูปของสกุลเงินหยวนในปี 2566 แต่ยังคงต่ำกว่าการเพิ่มขึ้น 5% ในปี 2565
นอกจากนี้ ตลาดงานจีนยังฟื้นตัวช้าด้วยเช่นกัน โดยประชากรจีนทั้งสิ้น 3.52 ล้านรายเข้าเกณฑ์รับสวัสดิการคนว่างงาน ณ สิ้นปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 550,000 รายจากปีก่อนหน้าและเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2555
เงินหยวนอ่อนค่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ฉุดค่า GNI ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยสกุลเงินหยวนอ่อนค่าลงเฉลี่ย 4.5% ในปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับปี 2565 สู่ระดับ 7.0467 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นในสหรัฐ และเศรษฐกิจซบเซาในจีน