แหล่งข่าวระบุว่า ตัวแทนของเนเธอร์แลนด์กล่าวในการประชุมนักธุรกิจต่างชาติ ณ เมืองเฉิงตู เมื่อวันศุกร์ว่า หน่วยงานเตรียมปิดสถานกงสุลในฉงชิ่งเนื่องจากธุรกิจของเนเธอร์แลนด์ในพื้นที่ดังกล่าวมีน้อย
กระทรวงต่างประเทศจีนไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าว ขณะที่สถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำกรุงปักกิ่งปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าว
จีนระบุเมื่อเดือนที่แล้วว่า ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในภาคธุรกิจในปี 2566 ปรับตัวขึ้นในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษปี 2533 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนับเป็นความท้าทายสำหรับจีน เนื่องจากทางการจีนกำลังแสวงหาเงินทุนจากต่างชาติเพื่อช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเนเธอร์แลนด์ร้าวลึกยิ่งขึ้นจากประเด็นด้านสงครามในยูเครนและการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าจะไม่มีข้อบ่งชี้ว่า การปิดสถานกงสุลในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับความไม่ลงรอยข้างต้นด้วยหรือไม่ โดยเมื่อปีที่แล้ว หน่วยข่าวกรองของเนเธอร์แลนด์ระบุว่า จีนเป็น "ภัยคุกคามใหญ่ที่สุด" ต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ แม้ว่าจะเป็นคู่ค้ารายสำคัญก็ตาม
นอกจากนี้ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยังร่วมกับสหรัฐในความพยายามเพื่อสกัดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางชนิดของจีน โดยการสั่งห้ามไม่ให้เอเอสเอ็มแอล (ASML) บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ จำหน่ายอุปกรณ์บางชนิดให้กับจีน
ทั้งนี้ มีเพียงไม่กี่ชาติเท่านั้นที่มีสถานกงสุลอยู่ในเมืองฉงชิ่ง ซึ่งได้แก่ ญี่ปุ่น แคนาดา และฮังการี โดยในปี 2563 จีนได้สั่งให้สหรัฐปิดสถานกงสุลในเมืองเฉิงตูที่อยู่ใกล้เคียงกับฉงชิ่ง เพื่อตอบโต้การตัดสินใจปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันของคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์