นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีนระบุในวันนี้ (5 มี.ค.) ว่า จีนจะตั้งเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจที่ประมาณ 5% ในปีนี้ และจะทำงานเพื่อพลิกโฉมรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ, ควบคุมศักยภาพทางอุตสาหกรรมไม่ให้มากเกินไป, ลดความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์ และลดการใช้จ่ายที่ไม่เป็นประโยชน์ของรัฐบาลท้องถิ่น
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าหลังผ่านพ้นช่วงโรคโควิด-19 ระบาดในปีที่ผ่านมาของจีนทำให้ปัญหาความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างของจีนทวีความรุนแรงขึ้น ตั้งแต่การบริโภคภาคครัวเรือนที่อ่อนแอไปจนถึงผลตอบแทนการลงทุนที่ลดลงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องรูปแบบการพัฒนาใหม่
วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์, ภาวะเงินฝืดที่รุนแรงขึ้น, ความปั่นป่วนในตลาดหุ้น และหนี้สินรัฐบาลท้องถิ่นที่เพิ่มสูงขึ้นล้วนเพิ่มแรงกดดันต่อคณะผู้นำจีนในการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้
"เราไม่ควรมองข้ามสมมุติฐานขั้นเลวร้ายที่สุดและควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกความเสี่ยงและทุกปัญหา" นายกฯหลี่กล่าว
"โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราต้องเดินหน้าผลักดันการพลิกโฉมรูปแบบการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน, ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างได้, พัฒนาด้านคุณภาพและปรับปรุงประสิทธิภาพ"
อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จีนตั้งเป้าจะดำเนินการ
ในการกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ นายหลี่ระบุว่า บรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายได้พิจารณาถึงความจำเป็นในการกระตุ้นการจ้างงานและรายได้ รวมถึงป้องกันและลดความเสี่ยง" พร้อมระบุเสริมว่า จีนตั้งเป้าจะดำเนินจุดยืนทางการคลังในเชิงรุกและนโยบายการเงินอย่างรอบคอบ
จีนตั้งเป้าขาดดุลงบประมาณไว้ที่ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สำหรับปีนี้ ซึ่งลดลงจาก 3.8% ของปีที่ผ่านมา แต่จีนวางแผนจะออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษที่มีอายุยาวนานพิเศษ (Ultra-Long) มูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (1.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อใช้สนับสนุนโครงการต่าง ๆ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งจะไม่ถูกรวมอยู่ในงบประมาณปีนี้
ส่วนโควตาการออกพันธบัตรพิเศษสำหรับรัฐบาลท้องถิ่นถูกกำหนดไว้ที่ 3.9 ล้านล้านหยวนในปีนี้ เทียบกับ 3.8 ล้านล้านหยวนในปี 2566