สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่อันดับสองของไทยเมื่อพิจารณาตามมูลค่าตลาด ตั้งเป้าระดมทุนประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการนำบริษัทในเครือในสหรัฐเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐเพื่อเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในปีหน้า หลังจากที่การขาดทุนรายปีมากเป็นประวัติการณ์ทำให้เกิดการยกเครื่องธุรกิจ
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม IVL ให้สัมภาษณ์ในวันอังคาร (5 มี.ค.) ว่า IVL จะพิจารณาระดมทุนอีกประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการแตกธุรกิจและการนำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในเครือในเอเชียเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในเวลา 3 ปี โดยธุรกิจในสหรัฐและเอเชียดังกล่าวอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ทำกำไรได้มากที่สุดของ IVL
รายงานระบุว่า IVL กำลังเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เช่น การเร่งขายสินทรัพย์บางส่วนเพื่อบรรลุเป้าหมายในกรลดหนี้สุทธิให้ได้มากกว่า 1 ใน 3 ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยธุรกิจของ IVL ได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของอุปสงค์จากจีนซึ่งกระตุ้นให้เกิดการส่งออกสินค้าในราคาถูก รวมถึงอุปสรรคด้านเศรษฐกิจมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์ จนบริษัทประสบปัญหาขาดทุนสุทธิ 302 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 ซึ่งเป็นผลประกอบการที่ย่ำแย่ที่สุดของบริษัท
IVL มีโรงงานกว่า 140 แห่งใน 35 ประเทศและผลิตสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีประเภทต่าง ๆ เช่น โพลีเอทิลีนเทอพาทาเลท (Polyethylene Terephthalate) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตขวดพลาสติก
นายโลเฮียระบุว่า แต่การควบรวมกิจการที่ดำเนินมานานนับทศวรรษซึ่งช่วยขยายธุรกิจให้กับ IVL นั้นต้องถูกระงับไปก่อน เพื่อเปลี่ยนมามุ่งความสนใจไปที่การกระตุ้นผลกำไรจากธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน
"ต้นทุนของเงินนั้นสูงมาก ดังนั้นเราต้องประหยัดและขยันขันแข็งอย่างมาก" นายโลเฮียระบุ พร้อมกล่าวเสริมว่า "การสร้างผลตอบแทนจากเงินทุนนั้นยากขึ้นเรื่อย ๆ ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว" เนื่องจากศักยภาพใหม่ โดยเฉพาะจากจีน ได้กดดันราคาผลิตภัณฑ์ของทางบริษัท
นอกจากนี้ นายโลเฮียกล่าวว่า IVL กำลังพิจารณาขายธุรกิจที่กำลังประสบกับความยากลำบากบางส่วนในยุโรป เนื่องจากประสบปัญหาจากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ระดับสูง ขณะเดียวกัน IVL วางแผนระดมเงินทุนประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการจำหน่ายหุ้นกู้ทั้งในตลาดในไทยและต่างประเทศเพื่อจัดหาเงินสำหรับชำระหนี้หุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน
ราคาหุ้น IVL เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในวันนี้ (6 มี.ค.) หลังลดลงประมาณ 15% แล้วในปีนี้ เทียบกับการลดลงประมาณ 3% ของดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทย