นายสตีเวน โอคุน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเอพีเอซี แอดไวเซอร์ (APAC Advisors) บริษัทที่ปรึกษาจากสิงคโปร์เปิดเผยว่า สหรัฐมีแนวโน้มที่จะกำหนดมาตรการควบคุมเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบการแข่งขันจากจีน ในขณะที่เดินหน้าลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจจากจีน (decoupling)
"คำถามคือขอบเขตของมาตรการนั้นจะกว้างแค่ไหน" นายโอคุนกล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ Street Signs Asia ของสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นบีซีเมื่อวันจันทร์ (11 มี.ค.)
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการด้านพลังงานและการพาณิชย์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 50 ต่อ 0 ในการอนุมัติยื่นเสนอร่างกฎหมายที่จะแบนติ๊กต๊อก (TikTok) หากไบต์แดนซ์ (ByteDance) ของจีนซึ่งเป็นบริษัทแม่ไม่ยอมขายกิจการติ๊กต๊อกภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยนายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนฯ กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า มีกำหนดหารือเกี่ยวกับร่างกฎหมายการสั่งขายกิจการติ๊กต๊อกในวันพุธนี้ (13 มี.ค.)
แถลงการณ์ของคณะกรรมการ ฯ ระบุว่า "ตราบใดที่ไบต์แดนซ์ยังคงเป็นเจ้าของและจำเป็นต้องร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ติ๊กต๊อกก็ยังคงก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติของเรา"
"คณะกรรมการฯ ต้องการรีเซ็ตความสัมพันธ์กับจีนใหม่" นายโอคุนกล่าว พร้อมระบุเสริม "สหรัฐขัดขวางไม่ให้จีนเข้าถึงตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจมีอำนาจควบคุม พวกเขาเลยเน้นไปที่การผลิตภายในประเทศแทนที่จะพึ่งจีน และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ใหญ่กว่า"
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า สหรัฐเพิ่มแรงกดดันต่อบริษัทจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเซมิคอนดักเตอร์, รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีชีวภาพ
"แรงกดดันนี้จะส่งผลกระทบต่อ EV และผมคิดว่าจะขยายไปสู่ภาคพลังงานหมุนเวียนในวงกว้างเช่นกัน รวมถึงจะส่งผลต่อเทคโนโลยีชีวภาพอย่างแน่นอน ผมคิดว่านี่คือภาคส่วนที่คุณควรจับตาต่อไป" นายโอคุนระบุ
ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นเดือน วุฒิสภาสหรัฐลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายที่จะจำกัดการทำธุรกิจกับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของจีน เช่น WuXi AppTec และ BGI เนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติ