ทีมนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนภาคอุตสาหกรรมและอุปสงค์ในหมู่ผู้บริโภค
นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งรวมถึงซาแมนธา ดาร์ท และดาน สเตรย์เวน ระบุในรายงานที่มีการเผยแพร่เมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) ว่า การปรับตัวลงของต้นทุนการกู้ยืมอาจจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้น 15% ในปี 2567 นอกจากนี้ คาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะได้ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยคาดว่าราคาทองแดง อลูมิเนียม ทองคำ และผลิตภัณฑ์น้ำมัน จะปรับตัวสูงขึ้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ โดยราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้น ขณะที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุด และราคาทองแดงพุ่งขึ้นเหนือระดับ 9,000 ดอลลาร์/ตัน
ทั้งนี้ เฟด และ ECB ต่างก็ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เนื่องจากเงินเฟ้อชะลอตัวลง นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ
"เราคาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยคาดว่าราคาทองแดงและทองคำจะได้แรงหนุนมากที่สุด รองลองมาคือราคาน้ำมันดิบ" นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ระบุ
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปี 2567 ราคาทองแดงจะอยู่ที่ระดับ 100,000 ดอลลาร์/ตัน, ราคาอลูมิเนียมจะอยู่ที่ระดับ 2,600 ดอลลาร์/ตัน และคาดว่าราคาทองคำจะอยู่ที่ระดับ 2,300 ดอลลาร์/ออนซ์
เฟดได้ส่งสัญญาณในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มี.ค.ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจำนวน 3 ครั้งในปี 2567 ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดยืนยันว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่ออกมาสูงเกินคาดเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ได้ทำให้เฟดเปลี่ยนแปลงมุมมองที่ว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้เส้นทางที่จะไปถึงเป้าหมายดังกล่าวอาจไม่ราบรื่นนักก็ตาม
"เราเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยของเราอยู่ในระดับสูงสุดแล้วสำหรับวงจรนี้ และหากเศรษฐกิจมีพัฒนาการตามที่เราคาดการณ์ไว้เป็นวงกว้าง ก็น่าจะเป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้" นายพาวเวลกล่าว