ซิตี้กรุ๊ปปรับลดมุมมองที่มีต่อภาคธนาคารของไทยลงสู่ "เชิงลบ" (Bearish) จาก "เป็นกลาง" (Neutral) โดยพิจารณาจากการคาดการณ์ที่ว่า การปรับตัวลงของส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin - NIM) จะสร้างแรงกดดันต่อผลประกอบการของภาคธนาคารไทย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รวิสรา สุวรรณอำไพ นักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ประบุในรายงานล่าสุดว่า ภาคธนาคารของไทยเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในไตรมาสที่แล้ว พร้อมระบุว่า NIM ที่ปรับตัวลงเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส, ปริมาณเงินกู้ลดลง, อัตราค่าเสื่อมราคา (Deterioration Rate) มากขึ้นของสินทรัพย์ และรายได้จากค่าธรรมเนียมที่อ่อนแอลงนั้น ถือเป็นปัจจัยเชิงลบต่อภาคธนาคาร
ซิตี้กรุ๊ปคาดการณ์ว่า รายได้สุทธิโดยรวมของธนาคาร 6 แห่งของไทยอาจเพิ่มขึ้น 5% สู่ระดับ 5.03 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบเป็นรายปี อย่างไรก็ดี ซิตี้กรุ๊ปไม่ได้นำตัวเลขเงินกู้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ซึ่งปล่อยกู้ให้กับบมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ซึ่งมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้ มาเป็นปัจจัยในการคาดการณ์ดังกล่าว
ซิตี้กรุ๊ประบุว่า อัตราส่วน NPL ของภาคธนาคารไทยอาจเพิ่มขึ้น 0.2% จากสมมติฐานในปัจจุบันของซิตี้กรุ๊ปที่ระดับ 3.68% หาก ITD ผิดนัดชำระหนี้และหนี้สินของบริษัทถูกจัดเป็น NPL
"หลังจากฤดูกาลของการจ่ายเงินปันผลในช่วงปลายเดือนเม.ย.ปีที่แล้วผ่านพ้นไป เรายังมองไม่เห็นแรงขับเคลื่อนใด ๆ ที่จะเข้าช่วยผลักดันราคาหุ้นของภาคธนาคารไทย" ซิตี้กรุ๊ประบุในรายงาน
ทางด้านเมย์แบงก์ยังคงมีมุมมองที่ "เป็นกลาง" ต่อภาคธนาคารของไทย เนื่องจากคาดการณ์ว่าผลประกอบการของภาคธนาคารจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในปี 2567
เจษฎา เตชะหัสดิน นักวิเคราะห์ของเมย์แบงก์ระบุในรายงานเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ว่า "ตัวเลข NIM ของภาคธนาคารไทยมีแนวโน้มลดลง และจะสร้างแรงกดดันต่อผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 เป็นต้นไป"