นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย กล่าวในวันนี้ (4 เม.ย.) ว่า อินโดนีเซียจะจัดการกับการขาดดุลการคลังปี 2567 เพื่อไม่ให้เกิน 2.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) แต่การขาดดุลจะสูงกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.29% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินสวัสดิการสังคมและเงินอุดหนุนปุ๋ย
ประมาณการล่าสุดนี้ใกล้เคียงกับเพดานการขาดดุลงบประมาณประจำปีตามกฎหมายของอินโดนีเซียที่ 3% ของ GDP โดยประมาณการดังกล่าวสูงกว่าการขาดดุลงบประมาณปีที่แล้วอย่างมากที่ 1.65% ของ GDP
นายฮาร์ตาร์โตให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า "มันจะไม่ไกล (จาก 2.8%) สูงสุดคือ 2.8% แต่ผลลัพธ์อาจจะเป็น 2.6% ถึง 2.7%"
นายฮาร์ตาร์โต กล่าวว่า "เป็นเพราะการใช้จ่ายของเราเพิ่มขึ้นและจะเพิ่มขึ้นในปีนี้สำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับอาหารและในภาคเกษตรกรรม รวมถึงเงินอุดหนุนปุ๋ย"
งบประมาณเดิมของอินโดนีเซียสำหรับสวัสดิการสังคมในปีนี้อยู่ที่ 496 ล้านล้านรูเปีย (3.122 หมื่นล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยครอบคลุมโครงการต่าง ๆ เช่น การแจกข้าวและเงินสดเพื่อช่วยเหลือคนจน บรรเทาปัญหาราคาอาหารที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ราคาอาหารได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากฤดูแล้งปีที่แล้วยาวนานกว่าปกติ อันเป็นผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino)
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเพิ่มการจัดสรรเงินอุดหนุนมากกว่าครึ่งหนึ่งเพื่อครอบคลุมค่าปุ๋ยจำนวน 9.5 ล้านเมตริกตัน ซึ่งจะทำให้รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 50 ล้านล้านรูเปีย มาตรการนี้ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มการผลิตอาหารอีกด้วย