อัตราเกิดของสหรัฐอเมริกาลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 40 ปี ในปี 2566 ขณะที่ชาวอเมริกันยังคงมีลูกน้อยลงอย่างต่อเนื่องตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
ข้อมูลเบื้องต้นจากสำนักงานสถิติสาธารณสุขแห่งชาติ (NCHS) ที่ได้รับการเปิดเผยในวันนี้ (25 เม.ย.) ระบุว่า ในปี 2566 สหรัฐมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 3.59 ล้านคน ลดลง 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2522 ที่มีเด็กเกิดใหม่ราว 3.4 ล้านคน
นายเบรดี แฮมิลตัน นักประชากรศาสตร์ของ NCHS และผู้เขียนรายงานดังกล่าว ระบุว่า อัตราของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีลูกนั้น อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ NCHS เริ่มเก็บข้อมูล
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า อัตราเกิดทั่วโลกก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เนื่องจากการที่เศรษฐกิจไร้เสถียรภาพและความไม่แน่นอนอันเกิดจากสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น โรคระบาด ส่งผลให้คนจำนวนมากลังเลที่จะมีลูก โดยหลายประเทศทั่วโลก เช่น ฝรั่งเศสและจีน ต้องประกาศมาตรการส่งเสริมให้คู่รักมีลูกเพื่อรับมือกับวิกฤตประชากร
คาเรน กุซโซ นักประชากรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา เมืองแชเปิลฮิลล์ กล่าวว่า คนหนุ่มสาวในสหรัฐตัดสินใจอย่างรอบคอบในการวางแผนครอบครัว โดยต้องการมีความมั่นคงทางการเงินก่อนที่จะมีลูก
งานวิจัยของเธอเผยให้เห็นว่า ชาวอเมริกันระบุว่าประเด็นต่าง ๆ เช่น ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ ความไม่มั่นคงในการทำงาน การแบ่งขั้วทางการเมือง การกู้ยืมเพื่อการศึกษา การเข้าถึงการรักษาพยาบาล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งทั่วโลก ล้วนส่งผลให้ชาวอเมริกันมีลูกช้าหรือตัดสินใจไม่มีลูก