นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มจะแข็งแกร่งกว่าที่บ่งชี้ในข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2567 ที่อ่อนแอกว่าคาดการณ์ พร้อมระบุว่า คณะบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐเตรียมใช้ทุกวิถีทางเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากปัญหาด้านอุปทานภาคอุตสาหกรรมที่สูงเกินไปของจีน
ทั้งนี้ นางเยลเลนระบุว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2567 ของสหรัฐอาจถูกปรับแก้ให้สูงขึ้น หลังมีข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา และเงินเฟ้อจะชะลอตัวสู่ระดับปกติมากขึ้นหลังปัจจัยพิเศษได้ฉุดให้ GDP สหรัฐอ่อนแอที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี
"เศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง" นางเยลเลนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ โดยเป็นการตอบคำถามเกี่ยวกับรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า GDP ไตรมาส 1/2567 ขยายตัวรายปีที่ 1.6%
ตัวเลข GDP สหรัฐในไตรมาส 1/2567 ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 2.4% และโตไม่ถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับระดับในไตรมาส 4/2566 โดยถูกฉุดรั้งจากสต็อกสินค้าคงคลังทางการค้าและสต็อกสินค้าคงคลังธุรกิจเอกชน ขณะเดียวกันรายงานยังแสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อพุ่งขึ้นในระดับที่น่ากังวล โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในไตรมาส 1/2567 พุ่งขึ้น 3.4% ซึ่งสูงกว่าในไตรมาส 4/2566 ที่ปรับตัวขึ้น 1.8% ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 3.7% สูงกว่าในไตรมาส 4/2566 ที่เพิ่มขึ้น 2.0%
อย่างไรก็ตาม นางเยลเลนมองข้ามเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นดังกล่าว โดยระบุว่าตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวไม่ได้บ่งชี้ว่า สหรัฐจำเป็นต้องผลักดันให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น หรือภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจสหรัฐจำเป็นต้องชะลอตัวลงเพื่อฉุดให้เงินเฟ้อกลับคืนสู่เป้าหมาย 2% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้วางเอาไว้
"ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับเงินเฟ้อที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องสู่ระดับปกติ" นางเยลเลนระบุ
นอกจากนี้ นางเยลเลนกล่าวว่า การต่อสู้กับเงินเฟ้อยังคงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ของปธน.ไบเดน โดยเน้นย้ำถึงความพยายามของคณะบริหารของปธน.ไบเดนในการลดต้นทุนด้านการดูแลสุขภาพ, พลังงาน และที่อยู่อาศัย