ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดฉากการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 30 เม.ย. และจะแถลงมติการประชุมในวันพุธที่ 1 พ.ค.ตามเวลาสหรัฐ โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมครั้งนี้
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่สูงเกินคาดและผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 1/2567 ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าสหรัฐกำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น (Stagflation)
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 1-2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย. แต่ก็มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นว่า เฟดอาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเลยในปีนี้
แอนนา หว่อง นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า นายพาวเวลอาจจะส่งสัญญาณตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปและมีแนวโน้มที่จะส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เหมือนกับที่เคยส่งสัญญาณก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา นายพาวเวลได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตันว่า "ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง แต่นับตั้งแต่ต้นปีนี้ เงินเฟ้อยังไม่มีความคืบหน้าในการปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเราที่ระดับ 2% ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น แต่กลับบ่งชี้ว่ากว่าที่เงินเฟ้อจะไปถึงจุดที่จะทำให้เรามั่นใจนั้นอาจจะใช้เวลานานขึ้น"
"ด้วยเหตุนี้ เราจึงคิดว่านโยบายการเงินควรจะอยู่ในระดับที่คุมเข้มต่อไปเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เรากำลังเผชิญอยู่ ผมมองว่าเฟดสามารถคงนโยบายคุมเข้มด้านการเงินในระดับปัจจุบันเอาไว้ได้นานตราบเท่าที่จำเป็น จนกว่าเงินเฟ้อจะส่งสัญญาณให้เห็นถึงความคืบหน้ามากขึ้น และกว่าที่เจ้าหน้าที่เฟดจะมีความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ก่อนที่เราจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น อาจจะต้องใช้เวลานานขึ้น" นายพาวเวลกล่าว