สำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐ (NHTSA) ประกาศเมื่อวานนี้ (29 เม.ย.) ว่า ได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับเทคโนโลยี "บลูครูซ" (BlueCruise) ของฟอร์ด ซึ่งเป็นระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติแบบไม่ต้องจับพวงมาลัย หลังจากมีกรณีอุบัติเหตุรถชนที่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต 2 ครั้งด้วยกัน โดยเกี่ยวข้องกับรถเอสยูวีไฟฟ้า ฟอร์ด มัสแตง มัค-อี (Mustang Mach-E) พุ่งชนรถที่จอดอยู่
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในเบื้องต้น NHTSA จะประเมินรถฟอร์ด Mustang Mach-E ประมาณ 130,000 คัน ตั้งแต่รุ่นปี 2564-2567 เพื่อดูว่ารถยนต์เหล่านี้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากเกินไปหรือไม่
ทางฟอร์ดได้ออกมาแถลงว่า บริษัทกำลังให้ความร่วมมือกับ NHTSA ในการสอบสวนครั้งนี้
ด้านคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐ (NTSB) ได้เปิดการสอบสวนแยกต่างหากสำหรับกรณีอุบัติเหตุรถ Mach-E ทั้ง 2 กรณี กรณีแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. โดยรถฟอร์ด Mustang Mach-E ซึ่งใช้ระบบ BlueCruise พุ่งชนท้ายรถฮอนด้า ซีอาร์-วี (Honda CR-V) ที่จอดอยู่บนทางหลวงเชื่อมระหว่างมลรัฐ 10 ในเมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส ส่งผลให้คนขับฮอนด้าวัย 56 ปีเสียชีวิต ส่วนอีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มี.ค. ที่ฟิลาเดลเฟีย
NHTSA ระบุเมื่อวานนี้ว่า การสอบสวนเบื้องต้นยืนยันว่า ระบบ BlueCruise ได้ถูกเปิดใช้งานก่อนเกิดอุบัติเหตุรถชนที่ฟิลาเดลเฟีย
ก่อนหน้านี้ NHTSA ได้เปิดการสอบสวนพิเศษเกี่ยวกับอุบัติเหตุร้ายแรงทั้งสองกรณีนี้ไปแล้ว โดยทั้งคู่เกิดขึ้นในช่วง "สภาพแสงในเวลากลางคืน"
อนึ่ง BlueCruise คือระบบขับขี่อัตโนมัติขั้นสูงของฟอร์ดแบบไม่ต้องจับพวงมาลัย สามารถใช้งานได้บน 97% ของทางหลวงในสหรัฐและในแคนาดาที่ไม่มีทางแยกหรือสัญญาณไฟจราจร ระบบนี้ใช้กล้องตรวจจับเพื่อติดตามพฤติกรรมและประเมินความตื่นตัวของผู้ขับขี่
การสอบสวนของ NHTSA ครอบคลุมถึงรถ Mach-E ที่มีเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ Co-Pilot360 Active 2.0 ซึ่งรวมถึงระบบ BlueCruise ที่เปิดตัวในปี 2564 และปัจจุบันมีให้บริการในรถฟอร์ดและลินคอล์น (Lincoln) หลายรุ่น
NHTSA ระบุว่า การสอบสวนจะประเมินประสิทธิภาพของระบบในการขับขี่แบบพลวัตและการติดตามผู้ขับขี่