รายงานฉบับใหม่จากสถาบันกริฟฟิธเอเชีย (Griffith Asia Institute) ของออสเตรเลียระบุว่า จีนส่งออกแบตเตอรี่, รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และแผงโซลาร์เซลล์พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าจีนเป็นผู้นำในตลาดอุตสาหกรรมสีเขียว (green industry) อย่างไรก็ดี การส่งออกเป็นจำนวนมากนั้นส่งผลให้ราคาสินค้าดังกล่าวทั่วโลกปรับตัวลดลง และสร้างความกังวลให้กับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
สถาบันกริฟฟิธเอเชียระบุว่า ยอดส่งออกแบตเตอรี่, รถ EV และแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งจีนมองว่ามีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตนั้น มีมูลค่าสูงกว่า 1.50 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 20%
ขณะที่ทีมวิเคราะห์ด้านการค้าจีนของสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า แม้ยอดส่งออกแบตเตอรี่, รถ EV และแผงโซลาร์เซลล์ของจีนจะชะลอตัวลงในปี 2567 เมื่อพิจารณาในรูปสกุลเงินดอลลาร์ แต่การปรับตัวลงส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากราคาที่ชะลอตัวลง ไม่ใช่มาจากการส่งออกที่ลดลง
ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเพราะเหตุใดกำลังการผลิตที่สูงของโรงงานในจีนจึงกลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับทั่วโลก แม้ว่าจีนมองว่าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่กำลังเฟื่องฟูจะช่วยตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งจะช่วยสนับสนุนให้โลกเปลี่ยนผ่านมาไปสู่การใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้นในราคาที่เอื้อมถึง แต่สหรัฐและยุโรป ซึ่งต้องการพัฒนาขีดความสามารถของตน กลับมองว่า การที่จีนผลิตมากเกินไปนั้นเป็นการตัดราคาคู่แข่งอย่างไม่ยุติธรรม
"จีนมีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่, รถ EV และแผงโซลาร์เซลล์ " จิง จ้าง และคริสตอฟ เนโดพิล ซึ่งเป็นนักวิจัยของสถาบันกริฟฟิธเอเชียระบุในรายงาน โดยชี้ว่าเป็นผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ที่มีการบูรณาการเป็นอย่างดี รวมทั้งการนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างก้าวรวดเร็ว และจากการที่รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ แต่ความตึงเครียดด้านการค้าที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนด้านการค้า และอาจผลักดันให้ผู้ผลิตสินค้าของจีนบางรายหันไปลงทุนในต่างประเทศ