บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันรายใหญ่ของไทย กำลังปรับโครงสร้างการดำเนินงานครั้งใหญ่ ท่ามกลางตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทวางแผนเพิ่มร้านกาแฟในเครือ 5 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า และเพิ่มอัตราส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจนอกกลุ่มน้ำมัน (Non-Oil) เป็น 50%
รายงานระบุว่า PTG ดำเนินธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นช้างสีน้ำตาล และเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกระดับการคั่วเมล็ดกาแฟที่ต้องการได้
นางสุขวสา ภูชัชวนิชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวนิกเกอิ เอเชีย ว่า บริษัทได้ขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทย 2 เท่าในทุกปี นับตั้งแต่เริ่มดำเนินงานในปี 2555 โดยเมื่อนับจนถึงเดือนเม.ย. บริษัทได้เปิดร้านกาแฟไปแล้วประมาณ 1,000 สาขา ขณะที่มีแผนจะเปิดอีก 400 สาขาในปีนี้ และประมาณ 1,000 สาขาต่อปีนับตั้งแต่ปี 2568 โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเป็น 5,000 แห่งภายในปี 2570
ขณะเดียวกัน นางสุขวสากล่าวว่า กาแฟของพันธุ์ไทยทุกสาขาใช้เมล็ดกาแฟจากทางภาคเหนือ "ผลิตภัณฑ์ของเรามีชื่อเสียงในด้านคุณภาพในระดับโลก" อีกทั้งกาแฟยังมีราคาที่ไม่แพง โดยอเมริกาโน่มีราคาอยู่ที่แก้วละ 60 บาท ซึ่งน้อยกว่าราคาที่สตาร์บัคส์ครึ่งหนึ่ง
สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียรายงานว่า มากกว่า 50% ของสาขาที่เปิดใหม่จะตั้งอยู่ใกล้กับปั๊มน้ำมันของ PTG แต่ก็มีบางสาขาที่เปิดภายในอาคารพาณิชย์
PTG ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2531 โดยเบื้องต้นดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน 2,300 แห่งทั่วประเทศ และดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิง รวมถึงก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยรายได้จากการขายรวมสำหรับรอบปีที่สิ้นสุด ณ เดือนธ.ค.ปีที่ผ่านมา แตะ 1.988 แสนล้านบาท และถือเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในอุตสาหกรรมน้ำมันของไทย รองจากปตท. และบางจาก
ปัจจุบัน PTG กำลังมุ่งความสนใจไปที่ธุรกิจร้านกาแฟ เนื่องจากบริษัทกังวลว่าจะไม่สามารบรรลุการเติบโตที่ยั่งยืนด้วยธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว
นางสุขวสากล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลไทยวางแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็น 30% ของรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 "หากผู้บริโภคในประเทศเปลี่ยนจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจปั๊มน้ำมันของเราจะไม่สามารถอยู่รอดได้"