ราคาบิตคอยน์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดดิ่งหลุดจากระดับ 60,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.
ข้อมูลจากคอยน์ เมทริกส์ (Coin Metrics) ระบุว่า ราคาบิตคอยน์ร่วงลง 7% แตะที่ระดับ 59,562.54 ดอลลาร์ในวันจันทร์ (24 มิ.ย.) ตามเวลาสหรัฐ ส่วนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์ดิ่งลงเกือบ 11%
คอยน์แชร์ส (CoinShares) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่มุ่งเน้นสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซี ระบุว่า เม็ดเงินได้ไหลออกจากผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนคริปโทฯ ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 โดยในสัปดาห์ที่แล้ว วอลุ่มการซื้อขายผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนคริปโทฯ ทั่วโลกดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สหรัฐเปิดตัวกองทุน Bitcoin ETF ในเดือนม.ค.ปีนี้
เจมส์ บัทเทอร์ฟิลล์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของคอยน์แชร์ส เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า "เราเห็นเม็ดเงินไหลออกจากกองทุน Bitcoin ETF ไปแล้วถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นหลังการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เราเชื่อว่าการที่นักลงทุนมีมุมมองลบเกี่ยวกับจำนวนครั้งของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้น เป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดคริปโทฯ"
คณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ตามคาด แต่ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) นั้น เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เพียง 1 ครั้งในปี 2567 จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้
เอเลนอร์ เกย์วู้ด หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์จากบริษัทคอยน์คัฟเวอร์ (Coincover) กล่าวว่า นักลงทุนในตลาดคริปโทฯ มีความตื่นตระหนกก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันศุกร์นี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)