ซีอีโอตลาดหุ้นฮ่องกงผลักดันใช้เงินหยวนมากขึ้นในตลาดหลักทรัพย์-พันธบัตร

นางบอนนี ชาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฮ่องกง เอ็กซ์เชนจ์ แอนด์ เคลียริ่ง ลิมิเต็ด (HKEX) กล่าวว่า การที่สกุลเงินหยวนจะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกนั้น เงินหยวนจำเป็นจะต้องมีการนำไปใช้ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ มากขึ้นด้วยเช่นกัน เช่น ในตลาดหลักทรัพย์และพันธบัตร

ทั้งนี้ จีนพยายามอย่างมากที่จะผลักดันให้ทั่วโลกเพิ่มการใช้สกุลเงินหยวนในตลาดการเงินระหว่างประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐครองตลาดอยู่ นอกจากนี้ การที่สหรัฐประกาศคว่ำบาตรรัสเซียยังเพิ่มแรงกดดันให้กับหลายประเทศให้ต้องหาทางเลือกอื่นที่นอกเหนือไปจากสกุลเงินดอลลาร์

นางชานกล่าวในระหว่างงานเสวนา "Summer Davos" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองต้าเหลียนของจีน โดยระบุว่า ประชาชนถือครองสกุลเงินเพื่อการค้า หรือที่สำคัญกว่านั้นคือถือครองเพื่อสะสมความมั่งคั่ง

"เราไม่ได้แค่ถือครองเงินหยวนจำนวนมากและฝากเข้าไปในบัญชีธนาคาร แต่เราต้องการถือครองพันธบัตรและหลักทรัพย์ด้วย หนึ่งในกลยุทธ์ที่เราเคยมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นนั้นได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เพื่อที่เราจะมั่นใจว่าเรายังคงสร้างผลิตภัณฑ์หลักทรัพย์สกุลเงินหยวนออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่นักลงทุนทั่วโลกจะสามารถเห็นการใช้งานสกุลเงินหยวนมากขึ้น และจะช่วยให้เราสามารถใช้สิ่งเหล่านี้เป็นทางสายกลางในการสะสมความมั่งคั่งในรูปสกุลเงินหยวน" นางชานกล่าว

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า เมื่อปีที่แล้ว HKEX ได้ประกาศโครงการ "Dual-Counter" เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำการซื้อขายหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงด้วยสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกงและเงินหยวน

ทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศในปี 2558 ว่า IMF จะเพิ่มเงินหยวนในตะกร้าทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในปี 2559 ซึ่งในเวลานั้นเป็นย่างก้าวสำคัญในการทำให้เงินหยวนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ข้อมูลจาก SWIFT ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินระหว่างประเทศระบุว่า เงินหยวนเป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ทั่วโลกมากเป็นอันดับที่ 4 ในเดือนพ.ค.เมื่อพิจารณาในแง่ของมูลค่า หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 4.5% ของการชำระหนี้ทั่วโลก ขณะที่การชำระหนี้ด้วยสกุลเงินดอลลาร์คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 48%

ส่วนในแง่ของการค้านั้น SWIFT ระบุว่า เงินหยวนติดอันดับ 3 ในฐานะสกุลเงินที่ใช้ในการทำการค้าในเดือนพ.ค. โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 5.1% ขณะที่สกุลเงินยูโรมีสัดส่วน 5.6% และสกุลเงินดอลลาร์มีสัดส่วนสูงเกือบ 85%