สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แม้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในสหรัฐช่วงไตรมาส 2 ออกมาดีเกินคาด ทำให้นักลงทุนใจชื้นขึ้นบ้างหลังจากที่ตลาดซบเซาลงอย่างหนักเพราะอัตราดอกเบี้ยพุ่งสูง แต่ผู้ผลิตรถ EV ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า
ที่ผ่านมา ความต้องการรถ EV เติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น เศรษฐกิจไม่แน่นอน และคนยังนิยมรถไฮบริดมากกว่า ทำให้เทสลาและแบรนด์รถ EV อื่น ๆ ต้องลดราคาหรือออกโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า
นักวิเคราะห์มองว่าแรงกดดันในการลดต้นทุนการผลิตและแบตเตอรี่จะยังคงอยู่ แม้สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ว่า ยอดขายรถ EV ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 13.7 ล้านคันในปี 2566 เป็น 16.6 ล้านคันในปีนี้ โดยจีนจะเติบโตเร็วกว่าภูมิภาคอื่น
ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM), ริเวียน และโตโยต้า รายงานยอดส่งมอบรถ EV ที่สดใสในวันอังคาร (2 ก.ค.) ขณะที่เทสลาแม้ยอดขายตก แต่ก็ตกน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทรถ EV เหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าตัวเลขยอดขายล่าสุดเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่ายอดขายรถ EV จะกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้งหรือไม่
"เรามองว่าช่วงเวลานี้ยังคงมีความผันผวนไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากตลาดกำลังเปลี่ยนผ่านจากกลุ่มคนชอบลองของใหม่ไปสู่ผู้ซื้อกลุ่มกระแสหลัก ซึ่งกระบวนการนี้อาจใช้เวลานานพอสมควร" นายแซม ฟิออรานี รองประธานบริษัทวิจัย AutoForecast Solutions กล่าว
"บางไตรมาสยอดขายอาจจะเพิ่มขึ้น บางไตรมาสอาจจะลดลง แต่โดยรวมแล้ว คงไม่ได้เติบโตแข็งแกร่งเท่ากับที่เราเคยเห็นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา" นายฟิออรานีกล่าวเสริม
ด้าน GM รายงานยอดขายรถ EV ในสหรัฐเพิ่มขึ้น 40% ในไตรมาสที่ 2
"เราชนะเมื่อลูกค้าหันมาใช้รถ EV มากขึ้น และเรายังคงชนะต่อไปได้หากลูกค้ายังคงต้องการใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่พวกเขาคุ้นเคย" มาริสซา เวสต์ ประธาน GM ประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือ กล่าวในแถลงการณ์
แม้แต่โตโยต้าซึ่งประสบความสำเร็จกับรถไฮบริด ก็เตรียมผลิตรถ EV ใหม่ 2 รุ่นสำหรับตลาดสหรัฐที่โรงงานในรัฐเคนตักกีและอินดีแอนาตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
นายดามอน โรส รองประธานฝ่ายขายของแบรนด์โตโยต้ากล่าวกับทางรอยเตอร์ว่า "เรายังคงได้รับสัญญาณความต้องการในเชิงบวกจากตลาดอย่างต่อเนื่อง"
ด้านโฆษกของเกีย (Kia) กล่าวว่า แม้อัตราการเติบโตเป็นเปอร์เซ็นต์อาจไม่พุ่งแรงเท่าปีก่อนหน้า แต่ยอดขายรถ EV โดยรวมยังคงเติบโตในอัตราที่แข็งแกร่งมาก
สำหรับทางฝั่งจีน รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นดีมานด์โดยให้เงินอุดหนุนสูงสุด 10,000 หยวน (1,375.29 ดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับการนำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ ขณะที่ค่ายรถอย่างเทสลาและบีวายดีก็เสนอสินเชื่อดอกเบี้ย 0% และไม่ต้องวางเงินดาวน์ในตลาดจีน
มาตรการเหล่านี้และความพยายามของเทสลาในสหรัฐ ช่วยให้บริษัทส่งมอบรถได้มากเกินคาด แม้ว่ายอดขายจะลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันก็ตาม
"แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาประกาศชัยชนะเหนือตลาดรถ EV ที่อ่อนแอ เทสลาจำเป็นต้องทำยอดขายช่วงครึ่งปีหลังให้สูงมากถึงจะเทียบเท่าปีที่แล้วได้ ซึ่งเป็นไปได้ยาก" นายแมตต์ บริตซ์แมน ผู้ถือหุ้นเทสลาและนักวิเคราะห์หุ้นจาก Hargreaves Lansdown กล่าว
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เทสลาได้หันมาเน้นด้าน AI มากขึ้น เช่น โครงการรถแท็กซี่ไร้คนขับและหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ออปติมัส (Optimus) เพื่อรับมือกับยอดขายรถ EV ที่ชะลอตัว ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้รายไตรมาสมากกว่า 80% ของบริษัท
แม้จะมีสัญญาณเตือนต่าง ๆ เหล่าแฟน ๆ รถ EV ก็ยังคงไม่หวั่นไหวแต่อย่างใด
นายโทมัส มอนเตโร นักวิเคราะห์จาก Investing.com ระบุว่า "เมื่อพิจารณาถึงมุมมองเชิงลบของตลาดที่มีต่อหุ้นรถ EV โดยเฉพาะเทสลา ในช่วง 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา ปัจจัยเหล่านี้น่าจะนำไปสู่การประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มนี้ใหม่ในวอลล์สตรีท"
"ปัจจัยบวกหลายอย่างกำลังรวมตัวกันในจังหวะที่เหมาะสม ... สิ่งที่เราพูดได้ก็คือ ภาพรวมของรถ EV โดยเฉพาะสำหรับผู้เล่นรายใหญ่ ดูสดใสกว่าเมื่อ 2 เดือนก่อนมาก" นายมอนเตโรกล่าว