การประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 15-18 ก.ค. อาจเผชิญกับแรงกดดันให้ต้องเร่งออกมาตรการกอบกู้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค หลังจีนเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2567 ที่ขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบ 5 ไตรมาส แม้ว่ารัฐบาลพยายามใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคก็ตาม
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า GDP ของจีนขยายตัวเพียง 4.7% ในไตรมาส 2/2567 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% และชะลอตัวลงจากไตรมาส 1/2567 ที่มีการขยายตัว 5.3%
นอกจากนี้ ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. ยังปรับตัวขึ้นเพียง 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2565 และสะท้อนให้เห็นว่าความพยายามของรัฐบาลที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นนั้นแทบจะไม่ได้ช่วยให้ผู้บริโภคชาวจีนเพิ่มการใช้จ่าย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงลงหลังจากจีนเปิดเผยข้อมูลที่น่าผิดหวังดังกล่าว โดยดัชนี Hang Seng China Enterprises Index ร่วงลง 1.7%
เสี่ยวเจีย จือ นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท เครดิต อากริโคล ซีไอบี ในฮ่องกง กล่าวว่า "รัฐบาลจีนจำเป็นต้องใช้นโยบายสนับสนุนมากขึ้นเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวตามเป้าหมายที่ระดับ 5% หลังจากตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ออกมาน่าผิดหวัง นอกจากนี้ การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสมากขึ้นที่จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้งก็หมายความว่า จีนยิ่งจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามในการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศในช่วงเวลาที่หมาะสม เนื่องจากอุปสงค์สินค้าจีนในต่างประเทศมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง"
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คาดหวังว่าภาคการผลิตและเทคโนโลยีขั้นสูงจะช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนหลังผ่านพ้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่กลยุทธ์ดังกล่าวได้เผชิญกับความไม่แน่นอนเนื่องจากบรรดาประเทศคู่ค้าของจีนต่างพากันเพิ่มกำแพงภาษีครั้งใหม่กับสินค้าจีน โดยเฉพาะนายทรัมป์ซึ่งขู่ว่าจะใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้น หากเขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง