ยูบีเอส กรุ๊ป (UBS Group) เปิดเผยผลการวิจัยใหม่เมื่อวานนี้ (15 ก.ค.) ระบุว่า การกำหนดภาษีศุลกากรใหม่ 60% สำหรับสินค้าส่งออกของจีนทั้งหมดไปยังสหรัฐนั้น จะทำให้อัตราการเติบโตต่อปีของเศรษฐกิจจีนลดลงเกินครึ่ง ซึ่งตอกย้ำความเสี่ยงที่จีนอาจจะต้องเผชิญ หากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง
ทั้งนี้ มีรายงานเมื่อต้นปีนี้ว่า ทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะเก็บภาษีที่ระดับ 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GD) ของจีนลดลง 2.5 จุดเปอร์เซ็นต์ในปีถัดไป ขณะที่จีนกำลังพยายามให้เศรษฐกิจเติบโตประมาณ 5% ในปีนี้ หลังจากขยายตัว 5.2% ในปี 2566
การคาดการณ์ดังกล่าวอิงตามสมมติฐานที่ว่า การค้าบางส่วนถูกดำเนินการผ่านประเทศที่สาม, จีนไม่ดำเนินมาตรการตอบโต้ และประเทศอื่น ๆ ไม่เข้าร่วมกับสหรัฐในการกำหนดภาษี โดยประมาณครึ่งหนึ่งของผลกระทบดังกล่าวจะมาจากการส่งออกที่ลดลง และส่วนที่เหลือจะมาจากการบริโภคและการลงทุนที่ลดลง
นายหวัง เตา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ UBS ระบุว่า "เมื่อเวลาผ่านไป การส่งออกและการผลิตที่มากขึ้นในประเทศอื่น ๆ จะสามารถช่วยลดผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐที่สูงขึ้นได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ประเทศอื่น ๆ จะปรับเพิ่มภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนเช่นกัน"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในปีนี้ โดยการส่งออกสุทธิคิดเป็น 14% ของการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนจนถึงขณะนี้ และยอดเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ความแข็งแกร่งด้านการส่งออกของจีนได้ทำให้เกิดข้อร้องเรียนจากบรรดาคู่ค้า โดยมีประเทศจำนวนมากขึ้นที่กำหนดภาษีหรือพิจารณามาตรการเพื่อต่อต้านการค้าที่ไม่สมดุลมากขึ้นของจีน
รายงานระบุว่า การตอบโต้ของจีนอาจเพิ่มผลกระทบของภาษีศุลกากร เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น โดยในกรณีที่เกิดสงครามการค้าอีกครั้งนั้น ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนก็อาจทำให้ผู้นำเข้าของสหรัฐหยุดซื้อสินค้าจากจีน แม้ว่าภาษีนำเข้าจะลดลงในที่สุดก็ตาม
UBS คาดว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 4.6% ในปี 2568 และ 4.2% ในปี 2569 แต่หากมีการกำหนดภาษีนำเข้าดังกล่าว การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนอาจลดลงเหลือ 3% ทั้งในปี 2568 และ 2569 แม้จีนจะออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม