รัฐบาลอินเดียประกาศในวันนี้ (23 ก.ค.) ว่าจะเดินหน้าใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลถึง 11.11 ล้านล้านรูปี (1.3285 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2568 โดยมีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับประเทศอินเดียที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แผนการใช้จ่ายดังกล่าวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากงบประมาณชั่วคราวที่นำเสนอในเดือนก.พ.ก่อนการเลือกตั้งทั่วไประดับชาติ
"เม็ดเงินนี้คิดเป็น 3.4% ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ของเรา" นางนิรมาลา สิธารามาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอินเดีย กล่าวในระหว่างการแถลงงบประมาณของรัฐบาลกลาง
สำหรับปีงบประมาณปัจจุบัน รัฐบาลได้จัดสรรเงิน 1.5 ล้านล้านรูปีเป็นเงินกู้ระยะยาวแก่รัฐต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้เพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็น 2 เท่า เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนระยะยาวต่อ GDP คิดเป็น 3.4% ในปีปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 1.7% ในปี 2562-2563
นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานให้ผลทวีคูณต่อระบบเศรษฐกิจ (Multiplier effect) อย่างมีนัยสำคัญ เพราะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในหลายภาคส่วน ตั้งแต่ปูนซีเมนต์ไปจนถึงเหล็กกล้า อีกทั้งยังช่วยสร้างงานอีกด้วย
แม้เศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วกว่าที่คาดไว้ที่ 7.8% ในไตรมาสเดือนมี.ค. แต่นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ก็ถูกนักวิเคราะห์และคู่แข่งทางการเมืองวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถสร้างงานได้เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อการบริโภคซึ่งคิดเป็น 60% ของ GDP อินเดีย และฉุดรั้งการลงทุนภาคเอกชน
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลไม่ปรับเปลี่ยนงบประมาณด้านการลงทุนส่งผลให้หุ้นของกลุ่มบริษัทสินค้าทุนปรับตัวลดลง 1.4% โดยหุ้นลาร์เซ่น แอนด์ ทูโบร (Larsen & Toubro) ร่วงลง 4% และซีเมนส์ (Siemens) ร่วงลง 2.7%