นายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังจากที่ประชุม BOJ มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% จากระดับ 0%-0.1% และปรับลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นรายเดือนลงสู่ระดับ 3 ล้านล้านเยน (2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในสิ้นปี 2569 จากระดับ 6 ล้านล้านเยน โดยการตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการถอนนโยบายผ่อนคลายทางการเงินขนานใหญ่ที่ BOJ ดำเนินการมาเป็น 10 ปี
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายอุเอดะกล่าวกับผู้สื่อข่าวในเรื่องการอุปโภคบริโภคว่า "แม้การปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้ออาจจะส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภค แต่ว่าการอุปโภคบริโภคก็ยังคงอยู่ในทิศทางที่แข็งแกร่ง ส่วนข้อมูลด้านค่าจ้างแสดงให้เห็นว่าการจ่ายค่าจ้างปรับตัวสูงขึ้น โดยผลการสำรวจของเราบ่งชี้ว่าค่าจ้างปรับตัวขึ้นเป็นวงกว้างในหมู่บริษัทขนาดเล็ก และเราคาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างจะกระจายตัวเป็นวงกว้างขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการอุปโภคบริโภคและเงินเฟ้อ"
ส่วนในเรื่องเงินเฟ้อ นายอุเอดะกล่าวว่า "เรายืนยันว่าเงินเฟ้อด้านการบริการปรับตัวสูงขึ้นด้วย และเราคาดว่าวงจรของค่าจ้างและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นปานกลางเช่นนี้จะดำเนินต่อไป นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินเยนยังส่งผลให้ราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องระมัดระวังความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงเกินเป้าหมาย"
"แม้เราได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และการดำเนินการของเราจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก" นายอุเอดะกล่าว
ผู้ว่าการ BOJ ได้กล่าวถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยว่า "หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเรา เราก็จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก"
ส่วนคำถามที่ว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหรือไม่ในปีนี้ นายอุเอดะกล่าวว่า "เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เราจะได้รับในวันข้างหน้า หากข้อมูลดังกล่าวออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเรา หรือสูงกว่าเป้าหมายที่เราคาดการณ์ไว้ เราก็อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก"