สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้เปิดเผยเมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) ว่า การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ ชิปคอมพิวเตอร์ และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ จะล่าช้าออกไปอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จากเดิมที่เคยประกาศว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.
USTR เปิดเผยว่า เหตุที่ล่าช้านั้นเป็นเพราะยังคงต้องพิจารณาความเห็นที่ได้รับ 1,100 รายการ และคาดว่าจะประกาศผลการตัดสินใจขั้นสุดท้ายได้ในเดือนส.ค. ซึ่งการเก็บภาษีนั้นจะมีผลบังคับใช้ประมาณ 5 สัปดาห์หลังประกาศผลการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ตัดสินใจเมื่อเดือนพ.ค.ว่า จะคงอัตราภาษีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนก่อนหน้าได้กำหนดไว้ตามเดิม และเพิ่มอัตราภาษีบางประเภท ซึ่งรวมถึงการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้า EV ของจีนเป็นกว่า 100% และเพิ่มอัตราภาษีสินค้าเซมิคอนดักเตอร์เป็น 50%
USTR ยังได้ขอความเห็นว่า อัตราภาษีนำเข้าหน้ากากอนามัยและถุงมือทางการแพทย์ 25% และอัตราภาษีนำเข้าเข็มฉีดยา 50% นั้นควรเพิ่มอีกหรือไม่
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐกำลังลงทุนเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ในเงินอุดหนุนภาษีพลังงานสะอาด เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรม EV, พลังงานแสงอาทิตย์ และอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ของสหรัฐ รวมถึงระบุว่า การผลิตที่มากเกินไปของจีนในภาคส่วนเหล่านี้คุกคามการอยู่รอดของบริษัทสหรัฐ ภาษีดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องงานของสหรัฐจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนที่หลั่งไหลเข้ามา
ทำเนียบขาวระบุว่า มาตรการใหม่นี้มีผลกระทบต่อสินค้านำเข้าจากจีนราว 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงเหล็ก, อะลูมิเนียม, เซมิคอนดักเตอร์, EV, แร่ธาตุสำคัญ, เซลล์แสงอาทิตย์ และเครน