นายวิเวก ดาห์ นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์เหมืองแร่และพลังงานจากคอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลีย คาดการณ์ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และความเสี่ยงที่ความขัดแย้งในภูมิภาคดังกล่าวจะขยายตัวเป็นวงกว้างนั้น จะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นในวันนี้ (26 ส.ค.) หลังมีรายงานว่ากองทัพอิสราเอลได้ส่งเครื่องบินรบกว่า 100 ลำโจมตีเป้าหมายในเลบานอน ก่อนที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งได้รับการหนุนหลังโดยอิหร่านจะยิงจรวดกว่า 320 ลูกถล่มดินแดนอิสราเอล
ทั้งนี้ ราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้น 0.75% แตะที่ระดับ 75.39 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันเบรนท์ปรับตัวขึ้น 0.67% แตะระดับ 79.55 ดอลลาร์/บาร์เรล
กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ระบุว่า การโจมตีครั้งนี้เป็นการตอบโต้อิสราเอลที่ลอบสังหารนายฟูอัด ชูกร์ ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของฮิซบอลเลาะห์เมื่อเดือนที่แล้ว ขณะที่อิสราเอลระบุว่า การเปิดฉากโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เป็นการชิงลงมือก่อน โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดแผนการโจมตีจากฝั่งฮิซบอลเลาะห์
นายดาห์กล่าวว่า แม้การคาดการณ์ของตลาดจะมุ่งไปที่การโจมตีของอิหร่านเป็นหลัก โดยมองว่าการโจมตีดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับอิสราเอลโดยไม่ทำให้ความขัดแย้งในภูมิภาคขยายวงกว้างขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของอิสราเอลก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากการตอบโต้ของอิสราเอลอาจรวมถึงการโจมตีอุปทานน้ำมันและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับอุปทานน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งจะทำให้อุปทานน้ำมันโลกราว 3-4% ตกอยู่ในความเสี่ยง
ทางด้านนายเซดริก เชฮาบ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายความเสี่ยงระดับโลกของบริษัทวิจัยบีเอ็มไอ ให้สัมภาษณ์ในรายการ "Squawk Box Asia" ของสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า การตอบโต้กันระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (25 ส.ค.) ไม่ได้หมายความว่า "สงครามเต็มรูปแบบ" กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ สิ่งที่ฮิซบอลเลาะห์และอิหร่านต้องการทำ คือ ยับยั้งการโจมตีของอีกฝ่าย
ทั้งนี้ เชฮาบกล่าวว่า แม้มีความเสี่ยงที่การเผชิญหน้าอาจจะลุกลามเป็นความขัดแย้งที่ขยายวงกว้างขึ้น แต่ก็ยังมีโอกาสที่สถานการณ์ตึงเครียดอาจบรรเทาลง
"ทั้งผู้นำอิสราเอลและอิหร่านต่างไม่ต้องการให้สถานการณ์นี้ลุกลามและยกระดับรุนแรงขึ้น ... อย่าลืมว่าอิหร่านมีประธานาธิบดีคนใหม่ที่ยังไม่เคยถูกทดสอบ และแนวคิดของประธานาธิบดีคนใหม่ก็คือการกดดันอิสราเอล แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าสู่การเผชิญหน้ากันโดยตรง"
ขณะที่นายดาห์เห็นด้วยกับมุมมองของนายเชฮาบว่า เหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ไม่น่าจะเป็นชนวนของสงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาค โดยเขาระบุว่านับจนถึงขณะนี้อิหร่านยังไม่ได้ตอบโต้อิสราเอลหลังจากการลอบสังหารอิสมาอีล ฮานิเยห์ ผู้นำทางการเมืองของฮามาสที่กรุงเตหะรานเมื่อเดือนที่แล้ว
นายดาห์กล่าวว่า ความคืบหน้าของการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซาจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าอิหร่าน ฮิซบอลเลาะห์ และฮามาส ตีความเหตุการณ์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้อย่างไร
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานในช่วงเช้าวันนี้ว่า ในการเจรจาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ยังไม่มีการทำข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา โดยแหล่งข่าวด้านความมั่นคงของอียิปต์เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า กลุ่มฮามาสและอิสราเอลต่างก็ไม่ยอมรับข้อเสนอที่นำเสนอโดยบรรดาผู้ไกล่เกลี่ยในอียิปต์
ทั้งนี้ นายดาห์กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้สถานการณ์ตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจะส่งผลเสียต่อการเจรจาหยุดยิง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าอิสราเอลสามารถขัดขวางฮิซบอลเลาะห์ได้นั้น "อาจบีบให้อิหร่านและกลุ่มติดอาวุธที่ทำสงครามแทนอิหร่านต้องยอมรับว่าอิสราเอลอยู่ในสถานะที่มีอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ ซึ่งจะทำให้การเจรจาหยุดยิงมีแนวโน้มที่เป็นบวกมากขึ้น"
นอกจากนี้ นายดาห์คาดการณ์ว่าสัญญาน้ำมันเบรนท์อาจจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 75-85 ดอลลาร์/บาร์เรล และมีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นอีกหากความหวังในการหยุดยิงในฉนวนกาซาลดลง และการตอบโต้ของอิหร่านที่มีต่ออิสราเอลนั้น ยังคงมีความเป็นไปได้
"ในภาพรวม เราคาดว่าความเสี่ยงของความขัดแย้งที่ขยายวงกว้างขึ้นในตะวันออกกลางจนทำให้อิหร่านเข้าไปร่วมวงอย่างถาวรนั้น อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น"