บริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ขายหุ้นที่ถือครองอยู่ในแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป (Bank of America - BofA) เพิ่มอีก 982 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่เบิร์กเชียร์ยังลดสัดส่วนการลงทุนใน BofA ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐฯ
เบิร์กเชียร์ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น BofA รวมทั้งสิ้นเกือบ 13% ผ่านการขายหุ้นหลายครั้งนับตั้งแต่กลางเดือนก.ค. ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสร้างรายได้ให้กับเบิร์กเชียร์มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนการขายหุ้น BofA ครั้งล่าสุดนี้ได้มีการเปิดเผยในรายงานที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) เมื่อวานนี้ (27 ส.ค.) โดยระบุรายละเอียดการขายในวันที่ 23, 26 และ 27 ส.ค.
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บัฟเฟตต์ยังคงไม่เปิดเผยเหตุผลเกี่ยวกับการทยอยขายหุ้นซึ่งให้ผลตอบแทนสูงนี้ โดยเขาเริ่มลงทุนใน BofA เมื่อราคาหุ้นเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 5 ดอลลาร์ในปี 2554 ส่วนในปีนี้ราคาหุ้น BofA พุ่งขึ้น 31% ก่อนที่จะถูกเทขายออกมาอย่างหนัก และนับตั้งแต่นั้นราคาหุ้น BofA ปรับตัวลง 10% มาอยู่ที่ระดับ 39.67 ดอลลาร์
การที่บัฟเฟตต์เทขายหุ้นใน BofA ออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น สะท้อนให้เห็นว่าเขาได้ปรับลดการลงทุนใน BofA ครั้งใหญ่ที่สุด จากเดิมที่ลงทุนในธนาคารแห่งนี้มาเป็นเวลานานและเป็นเสมือนเครื่องหมายรับรอง BofA ภายใต้การนำของไบรอัน มอยนิฮาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BofA โดยก่อนหน้านี้บัฟเฟตต์ได้กล่าวชื่นชมมอยนิฮานต่อสาธารณชนหลายต่อหลายครั้ง
อย่างไรก็ดี เบิร์กเชียร์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ BofA โดยถือหุ้นจำนวน 903.8 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 3.59 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคำนวณตามราคาปิดตลาดในวันอังคารที่ 27 ส.ค.