คณะกรรมการเพื่อการลงทุนในสหรัฐฯ (CFIUS) ระบุในจดหมายที่ส่งถึงบริษัทนิปปอน สตีล (Nippon Steel) ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของญี่ปุ่น และยูเอส สตีล (U.S. Steel) ของสหรัฐฯ ว่า ข้อตกลงควบรวมกิจการมูลค่า 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์จะสร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานเหล็กที่จำเป็นสำหรับโครงการด้านการขนส่ง การก่อสร้าง และการเกษตรที่สำคัญ
สำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานว่า จดหมายดังกล่าวระบุถึงอุปทานเหล็กราคาถูกของจีนที่ล้นตลาด และยังระบุด้วยว่า ยูเอส สตีล มีแนวโน้มน้อยลงที่จะผลักดันให้มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ หากต้องอยู่ภายใต้การบริหารของนิปปอน สตีล
CFIUS ระบุในจดหมายความยาว 17 หน้าที่ส่งถึง 2 บริษัทเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว (31 ส.ค.) ว่า การตัดสินใจของนิปปอนอาจทำให้กำลังการผลิตเหล็กในสหรัฐฯ ลดลง
"การตัดสินใจของยูเอส สตีลในด้านการค้าจะได้รับอิทธิพลจากนิปปอน สตีล และอาจต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ทางการค้าและสถานะการแข่งขันของนิปปอน สตีลในตลาดเหล็กทั่วโลกด้วย" CFIUS ระบุเสริม
นอกจากนี้ จดหมายดังกล่าวยังแสดงถึงความวิตกด้านความมั่นคงของชาติซึ่งคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจใช้เป็นเหตุผลในการสกัดกั้นการควบรวมกิจการ โดยความวิตกเหล่านั้นรวมถึงความเสี่ยงที่การตัดสินใจของยูเอส สตีลอาจได้รับอิทธิพลจากผลประโยชน์ระดับโลกของนิปปอน สตีล ซึ่งอาจทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯ อ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัทและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยังคงกังขาเกี่ยวกับข้อโต้แย้งดังกล่าว
ทั้งนี้ สมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจำนวนมากต่างออกมาคัดค้านข้อตกลงดังกล่าว โดยคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีและผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตกล่าวในการหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนียเมื่อวันจันทร์ (2 ก.ย.) ว่า เธอต้องการให้ยูเอส สตีล ยังคงเป็นของอเมริกาและดำเนินการโดยชาวอเมริกัน ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันก็ยืนยันจะคัดค้านข้อตกลงดังกล่าวด้วยเช่นกัน หากได้รับการเลือกตั้ง