แหล่งข่าววงในเปิดเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า นิปปอน สตีล (Nippon Steel) ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ส่งทาคาฮิโระ โมริ รองประธานบริหารของบริษัท เข้าร่วมการประชุมในกรุงวอชิงตัน เพื่อบรรลุข้อตกลงควบรวมกิจการยูเอส สตีล มูลค่า 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี นิปปอน สตีล ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับรายงานดังกล่าว
รายงานระบุว่า ข้อตกลงของนิปปอน สตีล ในการเข้าซื้อกิจการผู้ผลิตเหล็กของสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นเหยื่อเกมการเมือง โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ เตรียมดำเนินการสกัดกั้นการควบรวมกิจการ ทันทีที่ได้รับคำแนะนำจากคณะกรรมการการลงทุนต่างประเทศในสหรัฐฯ (CFIUS) อย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีและผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตกล่าวว่า ยูเอส สตีล ยังคงเป็นของอเมริกาและดำเนินการโดยชาวอเมริกัน ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันก็วิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงดังกล่าวเช่นกัน
ทั้งนี้ นิปปอน สตีล กล่าวย้ำหลายครั้งว่าข้อเสนอควบรวมกิจการจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งยูเอส สตีล เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเหล็กในวงกว้างของสหรัฐฯ ซึ่งนิปปอน สตีล ได้พยายามคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว โดยกล่าวว่าจะแต่งตั้งชาวอเมริกันขึ้นดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริษัทยูเอส สตีล และประกาศการลงทุนเพิ่มเติม 1.3 พันล้านดอลลาร์ในโรงงานของยูเอส สตีล ในสหรัฐฯ
นิปปอน สตีล และยูเอส สตีล ได้ประกาศข้อตกลงการซื้อกิจการในเดือนธ.ค. 2566 โดยยูเอส สตีลและกลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัทได้สนับสนุนการเทกโอเวอร์กิจการ โดยมองว่าจะทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันระดับโลกมากขึ้น และจะนำไปสู่การสร้างบริษัทผลิตเหล็กที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกเมื่อพิจารณาในแง่ปริมาณ
อย่างไรก็ตาม สหภาพแรงงานยูไนเต็ด สตีลเวิร์กเกอร์ส อินเตอร์เนชันแนล (United Steelworkers International) ได้ออกมาคัดค้านการทำข้อตกลงดังกล่าว ส่งผลให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ละเอียดอ่อน