สำนักงานสถิติแห่งชาติอิสราเอลรายงานเมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) ว่า อัตราเงินเฟ้อของอิสราเอลพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี จากระดับ 3.2% ในเดือนก.ค. โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่อิสราเอลกำหนดไว้ที่ 1% - 3% อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสงครามในฉนวนกาซาได้สร้างกดดันต่อเศรษฐกิจ และการใช้จ่ายของรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น ด้านนักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า อัตราเงินเฟ้อของอิสราเอลจะยังคงทรงตัวในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค.ของอิสราเอลดีดตัวขึ้นแตะระดับ 0.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี จากระดับ 0.6% ในเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค.จะลดลงแตะระดับ 0.5% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน
ต้นทุนในการเดินทางไปต่างประเทศและราคาผักปรับตัวขึ้นมากที่สุดในเดือนส.ค. หลังจากสายการบินต่างชาติหลายแห่งพากันระงับเที่ยวบินไปยังอิสราเอลเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย ขณะเดียวกันมีเรือเพียงไม่กี่ลำที่ให้บริการที่ท่าเรือเอลัต (Eilat) ของอิสราเอล เนื่องจากกลุ่มฮูตีได้ก่อเหตุโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการก่อสร้างและการเกษตรได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนคนงานชาวปาเลสไตน์ เนื่องจากคนงานเหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางจากเขตเวสต์แบงก์และกาซาเข้าไปในอิสราเอล
ทั้งนี้ ต้นทุนในการเดินทางไปต่างประเทศพุ่งขึ้นกว่า 22% ในเดือนส.ค. ขณะที่ราคามะเขือเทศพุ่งขึ้น 37%
ส่วนอีกปัจจัยที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น คือการที่รัฐบาลอิสราเอลเพิ่มการใช้จ่ายในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้รับมือกับการสู้รบระหว่างกองกำลังทหารอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่มีฐานที่มั่นอยู่ในเลบานอน