ธนาคารรายใหญ่หลายแห่งต่างก็คาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะยังคงทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 เนื่องจากกระแสเงินทุนขนาดใหญ่ที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำอีกครั้ง รวมทั้งแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน (J.P. Morgan) กล่าวว่า "อุปสงค์ทองคำที่แข็งแกร่งจากจีนและธนาคารกลางต่าง ๆ ได้ช่วยหนุนราคาทองคำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่กระแสเงินของนักลงทุนและการจัดตั้งกองทุน ETF ที่มุ่งเน้นนักลงทุนรายย่อยนั้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำยังคงรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ในช่วงที่เฟดมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในวันข้างหน้า"
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ราคาทองคำพุ่งขึ้นเกือบ 570 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือกว่า 27% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งทำให้ราคาทองมีแนวโน้มทำสถิติพุ่งขึ้นรายปีแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553 และมีสถานะเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดในปี 2567
"แม้ว่าราคาทองคำได้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงหลายครั้งแล้วในปีนี้และทำผลงานโดดเด่นกว่าดัชนีตลาดหุ้น แต่เราเชื่อว่าราคาทองยังมีโอกาสที่จะทะยานขึ้นอีกในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้านี้" นักวิเคราะห์จากยูบีเอส (UBS) กล่าว "ปัจจัยหลักที่จะช่วยหนุนราคาทองในมุมมองของเรานั้น รวมถึงกระแสเงินทุนขนาดใหญ่ที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำอีกครั้ง"
เฟดเริ่มวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุมสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ภายในสิ้นปีนี้ และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1% ในปีหน้า
ทั้งนี้ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยต่ำและในช่วงที่สถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์มีความผันผวน ขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย.นี้ อาจจะเป็นแรงหนุนราคาทองคำพุ่งขึ้นด้วย เนื่องจากตลาดที่มีแนวโน้มผันผวนอาจเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย