สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง ฝนตกหนัก หรือไฟป่า ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ทวีปเอเชียไปจนถึงทวีปอเมริกา ได้ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร ส่งผลให้ราคาอาหารหลักปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อของชำสูงขึ้นตามไปด้วย
ดัชนี Bloomberg Agriculture Spot Index ซึ่งติดตามผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรหลัก 9 รายการ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ต่อเดือน ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนจนทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2565
แม้ว่าดัชนีจะยังต่ำกว่าระดับสูงสุดในปีดังกล่าว แต่ในขณะนี้ฟาร์มต่าง ๆ ทั้งในบราซิลไปจนถึงเวียดนามและออสเตรเลียต่างต้องต่อสู้กับทั้งน้ำท่วมและภัยแล้ง ซึ่งคุกคามผลผลิตต่าง ๆ ทั้งน้ำตาล ธัญพืช และกาแฟ
เดนนิส วอซเนเซนสกี รองผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์เกษตรและความยั่งยืนจากธนาคาร คอมมอนเวลท์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลีย (Commonwealth Bank of Australia) กล่าวว่า หากราคายังคงเพิ่มขึ้นต่อไป ราคาอาหารตามซูเปอร์มาร์เก็ตอาจเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ราคาที่สูงขึ้นจะทำให้เกิดปัญหาทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยส่งผลกระทบต่อทุกคนตั้งแต่เกษตรกรที่ต้องรับมือกับการขโมยเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงผู้บริโภคที่ต้องจ่ายเงินซื้ออาหารแพงขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำตาล กากถั่วเหลือง และโกโก้จะเพิ่มขึ้นอีก
นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan Chase) คาดการณ์ว่าภัยแล้งที่ยังคงเกิดขึ้นในตอนเหนือและตอนกลางของบราซิลจะยังคงส่งผลกระทบต่อการผลิตพืชผลทางการเกษตร ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและทะเลดำ ตลอดจนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนอย่างไร "ตลาดต้องตื่นตัวกับความผันผวนมากมาย โดยต้องใส่ใจทั้งสภาพอากาศและข่าวการเมือง"