สหภาพยุโรป (EU) ได้ตัดสินใจปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนสูงสุดถึง 45.3% หลังเสร็จสิ้นการตรวจสอบในประเด็นที่ว่าจีนให้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรม EV ขณะที่หลายฝ่ายกังวลว่าการตัดสินใจดังกล่าวของ EU อาจทำให้จีนใช้มาตรการตอบโต้อย่างรุนแรง
หลังจากที่ใช้เวลานานถึง 1 ปีในการตรวจสอบว่าจีนให้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรม EV หรือไม่ ในที่สุดคณะกรรมการ EU ได้ตัดสินใจเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 7.8% สำหรับรถยนต์ของบริษัทเทสลา และเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 35.3% สำหรับรถยนต์ของบริษัทเอสเอไอซี (SAIC) โดยอัตราภาษีดังกล่าวยังไม่รวมอัตราภาษีมาตรฐาน 10% ที่ EU เรียกเก็บจากรถยนต์นำเข้าจากจีน ส่งผลให้เมื่อรวมอัตราภาษีเพิ่มเติมและอัตราภาษีมาตรฐานแล้ว จะทำให้รถยนต์ของจีน เช่น SAIC ถูกเรียกเก็บภาษีสูงสุดถึง 45.3%
เจ้าหน้าที่อาวุโสของ EU กล่าวว่า อัตราภาษีเพิ่มเติมนี้ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคาร (29 ต.ค.) โดยอัตราภาษีใหม่จะเผยแพร่ในวารสารทางการของ EU ภายในวันพุธ (30 ต.ค.) และจะมีผลบังคับใช้ในวันถัดไป
คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของ EU ระบุว่า ยุโรปจำเป็นต้องเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถ EV เพื่อตอบโต้การอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรมของรัฐบาลจีน และถือเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจต่อผู้ผลิตรถยนต์ EV ในยุโรป
EC เสริมว่า จีนมีกำลังการผลิตรถ EV สำรองจำนวนมากถึง 3 ล้านคันต่อปี ซึ่งมากกว่าขนาดตลาดรถยนต์ของ EU ถึง 2 เท่า และเนื่องจากสหรัฐฯ และแคนาดาเรียกเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจีนในอัตรา 100% ทางออกสำหรับรถยนต์เหล่านั้นจึงตกอยู่ที่ตลาดยุโรป
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ท่าทีของ EU ที่มีต่อจีนนั้น เข้มงวดมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมองว่าจีนเป็นทั้งพันธมิตรในบางด้าน แต่ยังเป็นคู่แข่งและศัตรูเชิงระบบ อย่างไรก็ดี สมาชิก EU ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องภาษี EV ดังกล่าว
ด้านจีนเรียกการเรียกเก็บภาษีนี้ว่าเป็นการกีดกันทางการค้า ซึ่งบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่าง EU และจีน รวมถึงห่วงโซ่อุปทานด้านยานยนต์ และได้เริ่มการสอบสวนเกี่ยวกับการนำเข้าบรั่นดีและผลิตภัณฑ์เนื้อหมูจาก EU ในปีนี้ เพื่อตอบโต้มาตรการดังกล่าว