ฟิลิปปินส์เตรียมรับมือพายุลูกที่ 4 ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนเศษ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรอีกระลอก และทำให้มูลค่าความเสียหายในปีนี้รวมเพิ่มขึ้นแตะ 11,500 ล้านเปโซ (197 ล้านดอลลาร์) เป็นอย่างน้อย
กรมอุตุนิยมวิทยาของฟิลิปปินส์คาดการณ์ว่า พายุไต้ฝุ่น "หยินซิ่ง" (Yinxing หรือที่ชาวฟิลิปปินส์เรียกว่า Marce) จะทำให้ฝนตกหนักมากกว่า 200 มิลลิเมตร (8 นิ้ว) ในจังหวัดคากายันตั้งแต่วันพฤหัสบดี (7 พ.ย.) ในขณะที่ภูมิภาคดังกล่าวยังคงประสบกับน้ำท่วมขังสูงจากฝนที่ตกชุกอันเนื่องมาจากพายุหลายลูกก่อนหน้านี้
สำนักข่าวบบลูมเบิร์กรายงานว่า เกาะลูซอน ซึ่งเป็นเกาะหลักของฟิลิปปินส์ ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนกำลังแรง "จ่ามี" (Trami) เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 100 ราย และสร้างความเสียหายต่อภาคการเกษตรเป็นมูลค่า 6.2 พันล้านเปโซ ซึ่งถือเป็นมูลค่าความเสียหายสูงสุดนับตั้งแต่ที่พายุไต้ฝุ่น "โคนี" (Goni) พัดถล่มประเทศเมื่อปี 2563
นอกจากนี้ พายุกระท้อน (Krathon) และกองเร็ย (Kong-Rey) ยังทำให้เกิดฝนตกหนักทางตอนเหนือของประเทศในเดือนต.ค. ก่อนที่พายุหมุนทั้งสองลูกนี้จะเคลื่อนตัวออกจากชายฝั่งไปพัดถล่มไต้หวันต่อ
ทั้งนี้ ข้าวเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากพายุจ่ามีมากที่สุด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 4 พันล้านเปโซ ขณะที่พืชผลอื่น ๆ ถูกทำลายเป็นจำนวนมากเช่นกัน จนอาจส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อด้านอาหารและทำให้ต้องนำเข้ามากขึ้น ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบรายปีในเดือนต.ค. อันเนื่องมาจากราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกข้าวและข้าวโพดเกือบ 1.1 ล้านเฮกตาร์อาจได้รับผลกระทบจากพายุหยินซิ่ง