ผลสำรวจที่เปิดเผยในวันนี้ (19 พ.ย.) บ่งชี้ว่า บรรดาบริษัทชั้นนำระดับโลกได้เพิ่มการจ้างงานในตำแหน่งงานด้านวิชาชีพมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยเฉพาะในภาคค้าปลีก เทคโนโลยี และการดูแลสุขภาพ แต่ความต้องการจ้างงานในภาคบริการทางการเงินกลับชะลอตัวลง
บริษัทจัดหางานโรเบิร์ต วอลเตอร์ส (Robert Walters) เปิดเผยว่า จำนวนตำแหน่งงานในสายวิชาชีพระดับโลกที่เปิดรับสมัครนั้น เพิ่มขึ้นเกือบ 9% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 5% ในเดือนก.ย.
โทบี โฟลสตัน ซีอีโอของโรเบิร์ต วอลเตอร์สกล่าวว่า "ตัวเลขล่าสุดนี้... เป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ว่า วัฏจักรการจ้างงานแบบดั้งเดิมอาจกลับมา โดยเดือนต.ค.และไตรมาสสุดท้ายมักจะเป็นช่วงที่ยุ่งมาก เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ เพิ่มการจ้างงานตามฤดูกาล หรือใช้จ่ายงบประมาณด้านการจ้างงานที่เหลืออยู่ก่อนสิ้นปี"
ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11% ในเดือนต.ค. และในอังกฤษเพิ่มขึ้น 4% แต่ในแคนาดาและเม็กซิโกเพิ่มขึ้นถึง 18% และ 22% ตามลำดับ ซึ่งโฟลสตันกล่าวว่าเกี่ยวข้องกับความต้องการของธุรกิจที่จะตั้งอยู่ใกล้กับลูกค้าในสหรัฐฯ มากขึ้น
"สถานการณ์นี้อาจดำเนินต่อไปในไตรมาสหน้า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ล่าสุดและการเจรจาต่อรองหรือข้อตกลงทางการค้า" โฟลสตันกล่าว
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า เขาจะเรียกเก็บภาษี 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และได้เสนอแนวคิดที่จะเก็บภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดด้วย
ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครสำหรับสายวิชาชีพในภาคค้าปลีก, สินค้าอุปโภคบริโภคและภาคบริการเพิ่มขึ้น 29%, ในภาควัสดุพื้นฐานเพิ่มขึ้น 15%, ในภาคเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 14% และในภาคการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น 13% แต่ในภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเพียง 5% และในภาคบริการทางการเงินเพิ่มขึ้นเพียง 1%
"หากพิจารณาสองศูนย์กลางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งได้แก่ลอนดอนและนิวยอร์กนั้น เราจะเห็นได้ว่าการเติบโตของตำแหน่งงานว่างที่เปิดรับสมัครในเดือนต.ค.นั้นค่อนข้างซบเซา อันเนื่องมาจากการเลือกตั้งในสหรัฐฯ และการประกาศงบประมาณในสหราชอาณาจักร" โฟลสตันกล่าว
เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครในภาคบริการทางการเงินเพิ่มขึ้น 10% โดยเป็นการเพิ่มขึ้น 12% ในสหรัฐฯ ขณะที่ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครในสวิตเซอร์แลนด์ลดลง 7%, ในอังกฤษลดลง 6% และในฝรั่งเศสลดลง 5%
ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนใหญ่อ้างอิงจากตำแหน่งงานที่โฆษณาโดยบริษัทต่าง ๆ ที่มีมูลค่าตลาดอย่างน้อย 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทเอกชนที่มียอดขายต่อปีอย่างน้อย 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ