กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนในวันนี้ (19 พ.ย.) ว่า การขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้กันไปมาอาจบั่นทอนโอกาสทางเศรษฐกิจของเอเชีย เพิ่มต้นทุน และกระทบห่วงโซ่อุปทาน แม้ IMF คาดการณ์ว่าภูมิภาคนี้จะยังคงเป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก
"การขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้กันไปมามีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อโอกาสการเติบโตทั่วทั้งภูมิภาค ทำให้ห่วงโซ่อุปทานยืดเยื้อขึ้นและมีประสิทธิภาพน้อยลง" กฤษณะ ศรีนิวาสัน ผู้อำนวยการ IMF เอเชียแปซิฟิก กล่าวในฟอรัมที่จังหวัดเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เรื่องความเสี่ยงเชิงระบบ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คำเตือนของศรีนิวาสันเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแผนการของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60% และสินค้านำเข้าอื่น ๆ อย่างน้อย 10%
ภาษีนำเข้าอาจเป็นอุปสรรคต่อการค้าโลก ฉุดการเติบโตของประเทศที่เน้นการส่งออก และอาจทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะบีบให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่าแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะยังไม่สดใสก็ตาม
เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (EU) เพิ่งประกาศขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนสูงถึง 45.3% ซึ่งทำให้จีนตอบโต้กลับ
IMF คาดการณ์ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ฉบับล่าสุดว่า เศรษฐกิจโลกจะโต 3.2% ทั้งในปี 2567 และ 2568 ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดไว้สำหรับเอเชียที่ 4.6% ในปีนี้และ 4.4% ในปีหน้า
ศรีนิวาสันเปิดเผยว่า เอเชียกำลังอยู่ใน "ช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ" ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น รวมถึง "ความเสี่ยงร้ายแรง" จากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างประเทศคู่ค้ารายใหญ่ โดยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการเงินในประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าและความคาดหวังของตลาดอาจส่งผลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินในเอเชีย ซึ่งจะกระทบต่อกระแสเงินทุนโลก อัตราแลกเปลี่ยน และตลาดการเงินอื่น ๆ