บรรดาผู้บริหารของภาคธุรกิจสหรัฐฯ ต่างจับตาว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะดำเนินการตามคำมั่นสัญญาในการใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเมื่อเข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.หรือไม่ อย่างไรก็ดี ผู้บริหารของหลายบริษัท ซึ่งรวมถึงวอลมาร์ท (Walmart) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลว่ามาตรการภาษีของทรัมป์จะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ
บริษัทรายใหญ่หลายแห่งของสหรัฐฯ ได้ระบุถึงมาตรการภาษีนำเข้าในระหว่างการประชุมร่วมกับนักลงทุนและการแถลงผลประกอบการ หลังจากทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเหนือคามาลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วอลมาร์ทได้แสดงความกังวลในเรื่องดังกล่าวหลังจากแถลงผลประกอบการเมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) ว่า ราคาสินค้าอาจปรับตัวสูงขึ้นหากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า
"เรากังวลว่าการปรับขึ้นภาษีนำเข้าอย่างมีนัยสำคัญจะส่งผลให้ลูกค้าของเราเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ในช่วงเวลาที่พวกเขายังคงรู้สึกถึงผลกระทบที่หลงเหลืออยู่ของเงินเฟ้อ" โฆษกของวอลมาร์ทกล่าว
ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนั้น ทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าเขาจะชูมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเป็นประเด็นสำคัญในวาระเศรษฐกิจของเขา โดยเขานำเสนอแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้า 60% สำหรับสินค้าจีน และเรียกเก็บภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ โดยระบุว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ
ข้อมูลของแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นเดือนก.ย. ผู้บริหารจากเกือบ 200 บริษัทในดัชนี S&P500 ต่างก็พูดถึงมาตรการภาษีนำเข้าในระหว่างการแถลงผลประกอบการหรือในการประชุมร่วมกับนักลงทุน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2563
ทางด้านออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ (Oxford Economics) ประมาณการว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60% จะส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 0.7%