ผู้พิพากษาสหรัฐฯ มีคำสั่งระงับการควบรวมกิจการมูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ระหว่างผู้ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ โครเกอร์ (Kroger) และอัลเบิร์ตสันส์ (Albertsons) เมื่อวันอังคาร (10 ธ.ค.)
คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (FTC) ได้ชี้แจงต่อศาลในการพิจารณาคดีที่กินเวลา 3 สัปดาห์ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน ว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้จะทำลายการแข่งขันระหว่างผู้ค้าปลีกรายใหญ่สองอันดับแรก ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น และบั่นทอนอำนาจต่อรองของพนักงานที่สังกัดสหภาพแรงงาน
ผู้พิพากษาเอเดรียน เนลสัน แห่งศาลแขวงสหรัฐฯ ลงความเห็นว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้จะส่งผลให้ผู้ค้าปลีกทั้งสองรายยุติการแข่งขันระหว่างกัน จึงถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ในวันเดียวกัน ผู้พิพากษาศาลรัฐวอชิงตันที่นครซีแอตเทิลก็มีคำสั่งระงับการควบรวมกิจการเช่นกัน โดยคดีนี้ อัยการสูงสุดบ็อบ เฟอร์กูสัน เป็นโจทก์ฟ้อง และประเมินว่าซูเปอร์มาร์เก็ตราวครึ่งหนึ่งในรัฐวอชิงตันอยู่ภายใต้การดำเนินงานของสองบริษัทนี้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ราคาหุ้นของอัลเบิร์ตสันส์ปิดตลาดร่วงลง 2.3% ขณะที่หุ้นของโครเกอร์ปิดพุ่งขึ้น 5.1%
ทำเนียบขาวแถลงภายหลังคำพิพากษาว่า "ภาคภูมิใจที่ได้ยืนหยัดคัดค้านการควบรวมกิจการของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่จะมาขึ้นราคาสินค้า เอาเปรียบพนักงาน และทำร้ายธุรกิจรายย่อย"
ดักลาส ฟาร์ราร์ โฆษก FTC กล่าวว่า ชัยชนะครั้งนี้ "พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดที่เด็ดขาดและตั้งอยู่บนความเป็นจริง จะนำมาซึ่งประโยชน์อันเป็นรูปธรรมต่อผู้บริโภค พนักงาน และธุรกิจรายย่อย"
อย่างไรก็ตาม โฆษกของโครเกอร์และอัลเบิร์ตสันส์กล่าวว่า ทั้งสองบริษัทต่างผิดหวังกับคำพิพากษาและกำลังพิจารณาแนวทางต่อไป
"เราเชื่อว่าเราได้ชี้แจงอย่างชัดเจนระหว่างการพิจารณาคดีว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมการแข่งขัน ทำให้สินค้าราคาถูกลง เพิ่มค่าแรงให้พนักงาน รักษางานในสหภาพแรงงาน และยกระดับประสบการณ์การชอปปิงของลูกค้า" โฆษกของอัลเบิร์ตสันส์ กล่าว