สำนักข่าวนิกเกอิของญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า มาตรการด้านภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะฉุดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ลดลง 1.1% ในปี 2570 เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและการจ้างงานในสหรัฐฯ
นิกเกอิได้ทำการศึกษาผลกระทบของมาตรการด้านภาษีศุลกากรร่วมกับสถาบันพัฒนาเศรษฐกิจ (IDE) ซึ่งเป็นหน่วยงานขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) โดยการศึกษานี้อ้างอิงจากแผนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 25 พ.ย. ซึ่งรวมถึงการเรียกเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าในข้อตกลงการค้าเสรีไตรภาคี และการเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีน
สถาบัน IDE คาดการณ์ว่า GDP ของสหรัฐฯ จะลดลง 1.1% ในปี 2570 โดยคาดว่าอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการเกษตรจะชะลอตัวลง 1.5% โดยสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจำนวนมากจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร เช่น มะเขือเทศและอาโวคาโด ซึ่งการที่ราคาสินค้าเหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้นอันเนื่องมาจากมาตรการภาษีนำเข้านั้น อาจจะทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวลง และส่งผลให้โอกาสในการจ้างงานลดลงด้วย
อิคูโม อิโซโนะ เจ้าหน้าที่ของสถาบัน IDE กล่าวว่า "หากมาตรการด้านภาษีศุลกากรมีผลบังคับใช้ ก็อาจจะทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ที่มุ่งเน้นการสนับสนุนธุรกิจของอเมริกานั้น อาจจะจบลงด้วยการสร้างความเสียหายต่อสหรัฐฯ เอง และอาจจะขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย"
นอกจากนี้ สถาบัน IDE ประมาณการว่า มาตรการด้านภาษีศุลกากรของทรัมป์จะส่งผลให้ GDP ของจีนปรับตัวลง 0.3% พร้อมระบุว่า ธุรกิจต่าง ๆ อาจจะมองหาประเทศอื่น ๆ ในเอเชียหรือในสหรัฐฯ เป็นแหล่งทางเลือกสำหรับการนำเข้า หรืออาจจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น บริษัทริโก้ (Ricoh) ของญี่ปุ่นที่ประกาศว่า ทางบริษัทมีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตอุปกรณ์สำนักงานสำหรับตลาดสหรัฐฯ ออกจากจีนมายังประเทศไทย