มาตรการภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จะบังคับใช้กับจีนในเร็ว ๆ นี้ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนที่กำลังซบเซาอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลจีนจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เติบโตแข็งแกร่งขึ้น
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (1 ก.พ.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ทำตามคำขู่หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคารที่ 4 ก.พ. โดยกล่าวหาว่าจีนล้มเหลวในการป้องกันไม่ให้สารเสพติดเฟนทานิลหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐฯ
ภาษีนำเข้า 10% ที่จะถูกเรียกเก็บครั้งใหม่นี้ เป็นการเรียกเก็บเพิ่มเติมจากภาษีเดิมที่มีการเรียกเก็บในอัตราสูงถึง 25% ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่ปธน.ทรัมป์เรียกเก็บจากสินค้าจีนในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
นักเศรษฐศาสตร์จากโกลด์แมน แซคส์ ระบุในรายงานเมื่อวันจันทร์ (3 ก.พ.) ว่า การที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% จะส่งผลให้การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่แท้จริงของจีนลดลง 0.50% ในปีนี้
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า GDP ที่แท้จริงของจีนจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 4.5% ในปีนี้ ขณะที่การขยายตัวของเงินเฟ้อภายในประเทศยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันเนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ โดยคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะเพิ่มขึ้นเพียง 0.4% ในปี 2568
ดัชนี CPI ของจีนในเดือนธ.ค. 2567 ขยับขึ้นเพียง 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยหากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีจากจีนเพิ่มขึ้นอีก ก็จะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อของจีนมากขึ้น เนื่องจากอุปสงค์สินค้าจีนในตลาดต่างประเทศอ่อนแอลง
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า เมื่อปธน.ทรัมป์เข้าดำรงตำแหน่งวาระที่ 2 เขาได้สั่งให้คณะบริหารตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงทางการค้าของจีนที่ทำขึ้นในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2563 ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายรายระบุว่า ผลการประเมินขั้นสุดท้ายจะถูกส่งถึงทรัมป์ภายในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ซึ่งอาจปูทางสู่การออกมาตรการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก