เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตือนว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีศุลกากรและประเด็นอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวันแรก ๆ ในการทำงานของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั้น เป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
ออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก เตือนว่า การเพิกเฉยต่อผลกระทบด้านเงินเฟ้อที่อาจเกิดจากภาษีศุลกากรนั้น อาจจะกลายเป็นความผิดพลาด ขณะที่โทมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เฟดยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้ แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรครั้งใหม่ รวมทั้งนโยบายคนเข้าเมือง กฎระเบียบในด้านต่าง ๆ และนโยบายอื่น ๆ ของปธน.ทรัมป์
การแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดทั้งสองรายสะท้อนให้เห็นว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้หรือจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อไป หลังจากที่เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25% - 4.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 ม.ค. หลังจากที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันกัน 3 ครั้งในปี 2567
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กูลส์บีกล่าวในการประชุมประจำปีว่าด้วยเรื่องยานยนต์ซึ่งเฟดสาขาชิคาโกจัดขึ้นที่เมืองดีทรอยต์เมื่อวันพุธ (5 ม.ค.) ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดแรงงานมีการจ้างงานที่เต็มศักยภาพ "อย่างสมเหตุสมผล" ส่วนเงินเฟ้อปรับตัวลดลงและกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับ 2% ของเฟด
"แต่เรากำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่มีต่อห่วงโซ่อุปทาน ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น ตั้งแต่ไฟไหม้และพายุเฮอริเคน ไปจนถึงเหตุการณ์เรือชนสะพานที่ส่งผลกระทบต่อท่าเรือสำคัญ และผลกระทบจากการนัดหยุดงานของคนงานท่าเรือ ภาวะชะงักงันด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าเมือง และแน่นอน ภัยคุกคามจากมาตรการภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ และความเป็นไปได้ของสงครามการค้าที่อาจทวีความรุนแรง" กูลส์บีกล่าว