ราคาทองคำในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นใกล้แตะระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ อาจส่งผลให้กลุ่มผู้ซื้อในจีนชะลอการซื้อ เนื่องจากกำลังซื้อที่อ่อนแอลง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การพุ่งขึ้นของราคาทองคำในปีที่ผ่านมานั้นได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในจีนเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก แต่การที่ราคาทองคำพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และการแข็งค่าเงินของสกุลเงินดอลลาร์ กำลังส่งผลให้ทองคำมีราคาแพงเกินไปสำหรับผู้บริโภคจำนวนมากในจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก
ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลที่ว่านโยบายต่างประเทศของรัฐบาลทรัมป์อาจนำไปสู่การเผชิญหน้ามากขึ้น รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ราคาทองคำยิ่งแพงขึ้นในประเทศจีน
ฟิลิป แคลปไวค์ กรรมการผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษา พรีเชียส เมทัลส์ อินไซต์ ในฮ่องกง กล่าวว่า "จีนกำลังเผชิญปัญหากำลังซื้อ และภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าผู้บริโภคไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะจับจ่ายได้เหมือนเมื่อก่อน"
แคลปไวค์กล่าวว่า ถ้าผู้ซื้อชาวจีนออกมาซื้อทองคำอย่างคึกคัก ราคาทองคำอาจจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก แต่เนื่องจากช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้คนจีนซื้อทองน้อยกว่าปกติ จึงส่งผลให้ตลาดทองคำที่ร้อนแรงได้มีจังหวะพักตัวบ้าง
ธนาคารชั้นนำระดับโลกต่างคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะยังคงพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2568 โดยมีแนวโน้มที่จะทะยานขึ้นแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งรวมถึงสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ และผลกระทบที่จะมีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำในระยะใกล้ (0-3 เดือน) ขึ้นสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ จากเดิม 2,800 ดอลลาร์ และคงตัวเลขคาดการณ์ราคาทองคำในช่วง 6-12 เดือนเอาไว้ที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์
ขณะที่ธนาคารยูบีเอส (UBS) ระบุว่า แม้ความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรได้ผลักดันราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็คาดว่าราคาทองคำยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นอีก โดยยูบีเอสได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำขึ้นสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า