วอลล์สตรีท เจอร์นัล (WSJ) รายงานเมื่อวานนี้ (10 ก.พ.) ว่า มาตรการของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ในการเนรเทศและบุกตรวจค้นผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวนมากตามที่ได้สัญญาไว้นั้นกำลังส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้อพยพ ตั้งแต่ยอดขายทามาเล (tamale) ที่ซบเซาบนทางเท้าในลอสแอนเจลิสไปจนถึงการยกเลิกการซื้อบ้านในย่านชานเมืองเวอร์จิเนีย
นับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค. เขาได้ออกคำสั่งหลายฉบับเพื่อเร่งดำเนินการขับไล่ผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เปิดตัวแคมเปญประชาสัมพันธ์เพื่อดึงความสนใจไปที่การเนรเทศและการบุกตรวจคนเข้าเมือง
รายงานระบุว่า "กิจกรรมดังกล่าวได้สร้างความกลัวในชุมชนลาตินอเมริกา และการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงอย่างมาก"
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) จับกุมผู้อพยพได้เฉลี่ย 822 รายต่อวันนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง โดยในปีงบประมาณ 2567 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจับกุมผู้อพยพได้ประมาณ 310 รายต่อวัน
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของชุมชนชาวลาตินจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในท้องถิ่นและเศรษฐกิจโดยรวม
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ชาวลาตินไม่ว่าจะเชื้อชาติใดก็ตามมีสัดส่วนประมาณ 13% ของการใช้จ่ายของผู้บริโภคในปี 2566
ด้านสำนักงานสำมะโนประชากรเปิดเผยว่า ชาวลาตินเป็นแรงผลักดันในการก่อตั้งธุรกิจใหม่ โดยเปิดธุรกิจในอัตราที่มากกว่าประชากรของสหรัฐฯ โดยรวมมากกว่า 2 เท่า
ทั้งนี้ ผู้อพยพคิดเป็น 36% ของการเปิดธุรกิจใหม่ในปี 2566 ซึ่งสูงกว่าระดับ 25% ในปี 2562